กรณี น.ส.ทองสร้อย แก้วจันทร์ ลูกพี่ลูกน้องของ น.ส.นันทิดา สุขจันทร์ หรือ จอย ผู้เสียชีวิต ขอความช่วยเหลือจากนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา ให้มาช่วยดูอาการของน.ส.จอย น้องสาว หลังจากนิ้วมือยังคงอุ่นและนิ่ม ศพไม่เน่าและเหม็น ซึ่งครอบครัวเชื่อว่ายังไม่เสียชีวิต ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 11 เม.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายัง รพ.ห้วยทับทัน อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ เพื่อติดตามสาเหตุการตายของน.ส.จอย โดยวันนี้ทาง ดร.นพ.สุรเดชช ชวะเดช ผอรพ.ห้วยทับทัน และรองนายแพทย์สาธารณะสุขจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยนางณัฐกมล สีกา หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล, นพ.จักรินทร์ อภิสุทธิศิลป์ แพทย์เวรที่รักษาน.ส.จอย วันที่เสียชีวิต และนายวนัฐพงษ์ บุตรดี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ปฏิบัติงานห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุการตายของน.ส.จอย
โดยนายสุรเดชช ผอ.รพ.ห้วยทับทัน เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 02.00 น. ของวันที่ 5 เม.ย.64 มีรับแจ้งว่ามีผู้ป่วยหมดสติ ทางรถฉุกเฉินของทางโรงพยาบาลจึงได้ไปรับผู้ป่วยคนดังกล่าวมารักษา กระทั่งผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล แพยท์เวรได้ตรวจร่างกายของ น.ส.จอย และไม่พบสัญญาณชีพ เช่น ชีพจรไม่เต้น ไม่หายใจ โดยทางกระบวนการรักษา ถ้าไม่พบสัญญาณชีพ แพทย์จะนำเข้าสู่กระบวนการฟื้นคืนชีพอย่างเร่งด่วน
ในวันดังกล่าว ทางแพทย์จึงรักษา น.ส.จอย ด้วยการนำเข้าตรวจเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจไฟฟ้า โดยรักษาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็พบว่ากราฟการเต้นของหัวใจ น.ส.จอย เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายถึงไม่มีการเต้นของหัวใจ จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า น.ส.จอย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เม.ย.64
จากนั้นทางทีมแพทย์ที่ให้การรักษา น.ส.จอย จึงยุติการช่วยเหลือ และแจ้งกับครอบครัวว่า น.ส.จอย ได้เสียชีวิตแล้ว สำหรับศพไม่มีการฉีดฟอร์มาลีน แต่ญาติได้ใส่ศพของผู้ตายไว้ในโลงเย็น ซึ่งเปรียบเสมือนตู้เย็น ที่สามารถรักษาสภาพได้เป็นอย่างดี จึงเป็นการรักษาสภาพศพไว้อย่างดี แต่เมื่อนำศพออกมาจากโลงเย็น ด้วยความคิดถึงและความอาลัยของญาติ ๆ จึงอาจคิดว่าร่างน.ส.จอย ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ผอ.โรงพยาบาลห้วยทับทัน กล่าวต่อว่า หลังญาติเอาศพของ น.ส.จอย ออกจากโลงเย็น ในวันที่ 8 เม.ย.64 ที่ผ่านมา อาจเห็นในข่าวว่ามีการใช้เครื่องวัดออกซิเจน หนีบตามนิ้วของน.ส.จอย นั้น ตนอยากบอกว่าเครื่องดังกล่าว ไม่ได้เป็นเครื่องตรวจที่มาตรฐานที่จะระบุได้ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
และวันดังกล่าวญาติ น.ส.จอย ก็ได้นำร่างมาตรวจที่ รพ.ห้วยทับทัน เป็นรอบที่ 2 หลังจากเอาออกจากโลงเย็น ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจน.ส.จอย ก็พบว่าหัวใจไม่เต้น รวมถึงทางแพทย์ได้ทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาน้ำตาลในเลือด ก็ไม่สามารถตรวจได้ เพราะระบบไหลเวียนโลหิตในขณะนั้นได้หยุดทำงานแล้ว จึงเป็นการยืนยันค่อนข้างแน่นอนว่า น.ส.จอยได้เสียชีวิตแล้ว ตนขอยืนยันว่าทางโรงพยาบาล เจอผู้ป่วยผู้ที่เสียชีวิตมาค่อนข้างมากแล้ว จึงมีโอกาสที่จะวินิจฉัยพลาดน้อยมาก
กรณีที่ใบมรณะของน.ส.จอย แพทย์ได้ลงสาเหตุการตายว่า "ตายจากการเจ็บป่วยที่ไม่แน่ชัด" นั้น ตนในฐานะ ผอ.โรงพยาบาล ขอยืนยันว่า น.ส.จอย เสียชีวิตมาจากโรคประจำตัว แต่เนื่องจากเป็นสิทธิ์ของผู้ป่วย ทางโรงพยาบาลจึงไม่อาจระบุโรคประจำตัวลงในใบมรณะได้ เพราะเป็นการเคารพสิทธิ์ของคนตาย และครอบครัว ทางโรงพยาบาลขอยืนยันว่า ในวันที่ 5 เม.ย.64 ได้แจ้งกับครอบครัวคนตายแล้วว่า น.ส.จอย เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว
สำหรับน.ส.จอย ป่วยเป็นโรคประจำตัวได้แค่ 3 เดือน แล้วมาเสียชีวิต จึงอาจทำให้ญาติยังไม่ทันได้ทำใจ และทาง รพ.ห้วยทับทัน ก็ขอแสดงความเสียใจ
น.ส.จงรัก ศรปราบ แม่น้องจอย กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.64) เวลา 17.00 น. ตนได้ทำพิธีเก็บกระดูกของน้องจอย ที่ตนต้องเลื่อนเวลาเก็บกระดูกลูกสาวเข้ามานั้น เพราะตนเชื่อคำแนะนำของหมอปลา ให้รีบเก็บกระดูกในวันเผา และดูแลกระดูกลูกสาวให้ดี ๆ
ตั้งแต่เผาศพลูกสาวเวลา 14.00 น. จนถึงพิธีเก็บกระดูกในเวลา 17.00 น. ก็มีสัปเหร่อจำนวน 2 คน และญาติเฝ้าศพลูกสาวไว้ตลอดเวลา ตนยืนยันว่าไม่มีใครไปแอบขโมยกระดูกของลูกสาวเพื่อไปทำเรื่องที่ไม่ดี สำหรับกระดูกของลูกสาว ตนเก็บได้เฉพาะชิ้นส่วนที่สำคัญ กระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตนไม่ได้เก็บมา ตนได้ให้สัปเหร่อขุดหลุมฝัง เพื่อป้องกันคนที่จะเอากระดูกของลูกสาวไปทำในสิ่งที่ไม่ดี
ส่วนกระดูกที่ตนเก็บมาส่วนแรก ตนจะเก็บใส่โกศเพื่อไปตั้งที่พระธาตุในวัด และส่วนที่ 2 ตนได้ห่อใส่ผ้าเอาไว้ เพื่อไปลอยอังคาร และอาจแบ่งกระดูกในผ้าบางส่วนไปไว้ที่วัด เพื่อให้นึกถึงว่า เคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียชีวิต แล้วมีเหตุการณ์แปลก ๆ แบบนี้เกิดขึ้น ตอนนี้ตนก็ยังกังวลว่าการตายของลูกสาวจะเกี่ยวกับผีปอบ เพราะก่อนจะเสียชีวิตตนยังคาใจกับท่าทางที่ลูกสาวแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ตน
น.ส.จงรัก กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.64) ตอนที่ตนไปเก็บกระดูกลูกสาว ตนแปลกใจว่ากระดูกทำไมมีสองสี มีทั้งสีขาวและสีดำ ตนได้ไปสอบถามสัปเหร่อว่า ทำไมกระดูกถึงเป็นมีดำ สัปเหร่อได้ให้ข้อมูลตนว่า อาจเป็นเพราะกระดูกลูกสาวโดนน้ำที่ใช้สาดตอนดับไฟ
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวได้สอบถามข้อมูลกับ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า กรณีกระดูกสีดำ ตนไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่คาดว่าน่าจะมาจาก 3 ปัจจัย 1.อาจมาจากโรคประจำตัวของผู้เสียชีวิต 2.อาจมาจากยาที่ผู้เสียชีวิตรับประทานก่อนหน้านี้ ที่ส่งผลให้กระดูกเป็นสีดำ และ 3.อาจมาจากวิธีการเผา เนื่องจากว่าเผาแบบเชิงตะกอน ไม่ได้เผาด้วยไฟฟ้า จึงอาจเป็นไปได้ว่าเขม่าไฟ ควันไฟ หรือขี้ถ้าที่ทำให้กระดูกบางชิ้นกลายเป็นสีดำได้
