จากเหตุการณ์เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 4 ก.พ.64 ชุดสืบสวนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) สนธิกำลังร่วมกับตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ "หนุมานกองปราบ" เปิดปฏิบัติการ ชัตดาวน์ กาแล็กซี่ ออนไลน์
โดยสามารถปิดล้อมจับกุม “นายเสี่ยโป้” อายุ 28 ปี ที่บ้านพักอาคารพาณิชย์เลขที่ 60/23-27 ถนนเพชรเกษม ซอย 44 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ และสมคบกันให้มีการเล่นพนันออนไลน์
โดยจากการตรวจค้นทั้ง 7 จุดภายในบ้าน สามารถควบคุมตัวคนงานชาวเมียนมาได้ 25 คน และจับกุม “นายพัชรพล จันทร์สว่าง” ลูกน้อง “เสี่ยโป้” พร้อมยึดอาวุธปืน 1 กระบอกกับกระสุนปืน 11 นัดได้
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า "ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และ “สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน”
จากการสืบสวนชุดปฏิบัติการ ของกองบังคับการปราบปราม พบกระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันของเครืองข่าย นายโป้ หรือเสี่ยโป้ กับพวกรวม 31 คน ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกันประกาศ โฆษณาชักชวนและร่วมกันจัดให้บุคคลทั่วไป เข้าเล่นการพนันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์พนันออนไลน์
โดยเสี่ยโป้ จะทำหน้าที่ในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ชักชวน ให้คำแนะนำ ผ่านบัญชีเฟสบุ๊กของตัวเอง, บัญชีเฟซบุ๊กของภรรยา และบัญชีเฟซบุ๊กของเว็บไซต์พนันออนไลน์อื่น ๆ โดยมีพฤติกรรมชี้นำให้ประชาชนเข้าไปเล่นการพนันผ่านเว็บไซต์พนันออนไลน์ ที่เสี่ยโป้ เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. และผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า กลุ่มของผู้ต้องหาได้สมคบคิดกันในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัญชีธนาคารที่เปิดรองรับไว้จำนวนหลายบัญชี ในลักษณะเป็นบัญชี “รับแทง”, บัญชี “รับจ่าย”, บัญชี “แถว 2” และ บัญชี “พัก” เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของเงินที่ได้จากการกระทำความผิด
นอกจากนี้ทางกลุ่มผู้ต้องหา ยังได้มีการนำเงินจากการกระทำความผิดไปดำเนินการในกิจการอื่น ๆ เพื่ออำพรางลักษณะที่แท้จริงของการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดร่วมกันฟอกเงินอีกด้วย
ขณะที่ทาง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. ระบุว่า ตรวจค้นครั้งนี้เป็นไปตามหมายจับ 31 หมายเป็นความผิดเกี่ยวกับพนันออนไลน์ ทั้งจัดหาเชิญชวนรวมถึงฟอกเงิน โดยได้จับกุมได้ 10 คน ตามหมาย และอีก 2 คนเป็นความผิดซึ่งหน้าคดีอาวุธปืน 1 คน และ คดียาเสพติดไอซ์ 5 กรัม 1 คน รวม 12 คน
สำหรับของกลางที่ตรวจยึดทรัพย์สินไว้ได้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 39 เครื่อง
2.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 65 เล่ม
3.เครื่องบันทึกภาพกล้องวงจรปิด จำนวน 1 เครื่อง
4.โน๊ตบุ๊ค จำนวน 1 เครื่อง
5.บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 2 ใบ
6.อาวุธปืน 9 มม. 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 11 นัด
7.รถยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า accord ทะเบียน 1 ขจ 8933 กทม. จำนวน 1 คัน
8.เงินสด รวมจำนวน 2,767,150 บาท
9.แหวนทองฝังเพชร 8 วง
10.กำไลเงินฝังเพชร จำนวน 1 วง
11.ปี่เซียะ สีทอง จำนวน 2 เส้น
12.ธนบัตรต่างประเทศ
13.พระเครื่อง 8 องค์
14.รถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า เวลไฟร์ ทะเบียน ส 1637 กทม. (ป้ายเเดง)
15.กุญแจรถ BMW จำนวน 1 ดอก
16.รถยนต์ ยี่ห้อ BMW ทะเบียน 7กณ 77 กทม.
17.รถยนต์ ยี่ห้อ Porsche ทะเบียน 8 กจ 88 กทม. รวมมูลค่าทรัพย์กว่า 20 ล้านบาท
18.คอนโดแมคโนเรีย ชั้น 35 จำนวน 1 ห้อง
19.อาคารพาณิชย์ 7 คูหา ซอยเพชรเกษม 44
ที่กองปราบปราบ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ พร้อมทนายความขอเข้าพบให้กำลังใจเเละเตรียมช่วยเหลือด้านคดีกับนายเสี่ยโป้ อานนท์ หลังถูกตำรวจจับกุม ในข้อหาร่วมกันจัด โฆษณาชักชวน ให้ผู้อื่นเล่นการพนันออนไลน์ และสมคบกันให้มีการเล่นพนันออนไลน์
นายสันธนะ กล่าวว่า ที่ตนมาวันนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือกับเสี่ยโป้ เพราะสนิทนับถือเป็นพี่น้องในวงการเดียวกัน แต่ตนก็รู้สึกผิดหวังกับปฏิบัติการครั้งนี้ คิดว่าการแจ้งข้อหาชักชวนให้เล่นพนันและการจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ เพราะหากต้องการจะจับกุมจริง ๆ ไม่ต้องนำกำลังไปขนาดนี้ เพียงโทรศัพท์ไปหาเสี่ยโป้ ให้เข้ามอบตัวที่กองบังคับการปราบปราม ก็สามารถทำได้ หรือจะเข้าไปตรวจค้นก็สามารถเข้าดำเนินการได้ปกติ
ทั้งนี้นายสันธนะ ยังโชว์ภาพ พร้อมอ้างข้อมูลว่า ส่วนตัวนั้นมองว่า สาเหตุที่เสี่ยโป้ถูกจับกุม เนื่องจากไปเปิดเผยข้อมูลที่มีการอ้างว่านายสมชาย เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันในพื้นที่หนึ่ง ตนมองว่าการจับกุมนี้เป็นเพียงการข่มขู่ และจับเพียงตัวปลายเหตุ พร้อมถามกลับทำไมจึงไม่จับเจ้าขอบ่อนพนันออนไลน์ตัวจริง ที่ตนก็เชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติมีข้อมูลและทราบว่า เว็บออนไลน์ต่าง ๆ เป็นของใคร เเละสามารถสอบถามจากชายที่ชื่อ โย ที่มีหน้าที่เป็นพ่อบ้าน คอยจัดการทุกอย่างอยู่เเล้ว ซึ่งเรื่องนี้นี้มีวาระซ่อนเร้น และมีคนมีสีเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน
ส่วนในเรื่องของการขัดขากันหรือไม่นั้น ตนมองว่าอาจจะเกิดการไม่พอใจกัน และต้องการที่จะสั่งสอนเสี่ยโป้ โดยผู้มีอำนาจในวงการพนัน อีกทั้งในเรื่องของเหตุผลจับนั้น ตนเคยบอกไปทั้งหมดว่า นายสมชาย เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการพนัน และอ้างว่าอาจจะมีการจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ จึงไม่ได้มีการจับกุมนายสมชาย จึงได้ถามอีกว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงยังไม่จับ จนถึงตอนนี้อาจจะย้ายของหนีหายไปหมดแล้ว หากจับนายสมชายได้นั้น สามารถชี้แจงได้ทั้งหมดว่า จ่ายส่วนให้กับใคร ที่ไหน อย่างไร ใครเป็นผู้ร่วมบ้าง
ต่อมานายสันธนะ ได้มีการพูดคุยกับพนักงานสอบสวนเรื่องการเข้าขอพบนายเสี่ยโป้ ในการขอสิทธิ์เข้าเยี่ยมผู้ต้องหา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนนายเสี่ยโป้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำเรื่องเข้าแจ้งว่าต้องการขอพบนายเสี่ยโป้ ภายหลังการสอบสวนเสร็จสิ้น โดยพนักงานสอบสวนยังไม่สามารถระบุเวลาได้ว่า จะสอบสวนแล้วเสร็จเมื่อไร
ในเวลาต่อมา นายสันธนะ เข้ายื่นลงบันทึกประจำวัน ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ ในเรื่องของเจ้าของบ่อนการพนันว่า คือ นายสมชาย ที่ได้มีการอ้างถึงจากการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมา
แต่แน่นอนว่าเมื่อข่าวถูกเผยแพร่ออกไป หลายคนก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงตำหนิจำนวนมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ “เสี่ยโป้” เคยเข้าร่วมให้ความเห็น และข้อมูลในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันและการพนันออนไลน์กับคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยนชน สภาผู้แทนราษฎร แต่วันนี้กลับโดนจับกุมตัวในข้อหาอันเกี่ยวกับการพนันแทน
ในขณะที่คนบางกลุ่มก็มองว่า นี่คือผลกรรมของการไม่พูดความจริง เรื่องของการรับบริจาคเงินซื้อเสื้อสีชมพูของ รพ.ศิริราช จนทำให้เกิดปัญหาดราม่าขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่าง “คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์”
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มีโอกาสได้เข้าพูดคุยกับ “ไทด์-เอกพันธ์” พี่น้องฝาแฝดของ “คุณบิณฑ์” ถึงการที่ “เสี่ยโป้” ถูกจับกุมคาบ้านพักในครั้งนี้ โดย “คุณไทด์” บอกเลยว่าทันทีที่รู้ข่าวและดูคลิปเมื่อช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ก็รู้สึกตกใจว่าการจับกุมครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมองว่าเสี่ยคนนี้โดนจับมาแล้วหลายครั้ง
ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้อยากแสดงออกความคิดเห็นเรื่องราวของคน ๆ นี้มาก เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว เพียงแค่มองว่านี่เป็นการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่กระความผิดอยู่แล้ว ดังนั้นใครทำอะไรไว้ ผลก็ย่อมได้อย่างนั้น ส่วนจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นการชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในขั้นตอนต่อไป
หากเสี่ยคนดังกล่าวจะปฏิเสธ ก็เป็นสิทธิ์ที่จะได้ความยุติธรรมในการอธิบายเหตุและผล ส่วนประชาชนที่ติดตามข่าวก็จำเป็นมากที่จะต้องฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย แล้ววันหนึ่งผลที่ออกมาจะทำให้ทุกคนรู้เองว่ากฎหมายไทยมีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน แต่ตนก็ยังเชื่อว่ากฎหมายจะไม่มีการละเว้น แม้ผู้กระทำผิดจะรู้จักหรือเคยร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยศศักดิ์สูงขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอยู่ดี "หรือหากวันหนึ่งคุณโดนปล่อยตัวออกมาด้วยประการใดก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่ากฎแห่งกรรมจะไม่ละเว้นผู้กระทำผิดแน่นอน"
พร้อมกันนี้ “คุณไทด์” ยอมรับว่า เมื่อมีข่าวนี้ออกไป ก็มีหลายคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกับตนและ “คุณบิณฑ์” แต่ด้วยความที่ตนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตา ทั้งคู่จึงบอกไปว่าอย่าพยายามไปแสดงอาการดีใจออกนอกหน้า หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "คนล้มอย่าข้าม" ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิสูจน์ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ก่อนที่จะขอเป็นกำลังใจให้กับทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและผู้ถูกจับกุม
นอกจากนี้ กานต์ วิภากร เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าว รวมถึงประเด็นคดีเก่าเมื่อ 3 ปีก่อนที่เจ้าตัวยังไม่ลืม โดยเธอระบุว่า "ไปเจอมาเมื่อกี้โดยบังเอิญ แต่ไม่รู้ข่าวจริงหรือเปล่า แค่เด็กไร้อนาคต สร้างแต่ความวิบัติให้ชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน ความสิ้นคิด เห็นผิดอดสู่เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่ทำลายชีวิตชาวบ้านพังยับเยินไม่รู้กี่คนต่อกี่คน"
