สุดซวย ป้าเก็บเงินได้ถูกจับลักทรัพย์ เจ้าของแฉเงินหายโทรไปไม่รับ ลดหนี้ให้ (คลิป)

3 ก.พ. 64

กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "Social Hunter v22" โพสต์ข้อความระบุว่า "ปราจีนบุรี สุดช็อกแม่บ้าน เก็บกระเป๋าสตางค์ส่งคืนเจ้าของบอกเงินหาย 4 หมื่น! โดยวานนี้ (02 ก.พ. 64) นางผ่องศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี พนักงานโรงแรมดัง จ.ปราจีน ถูกร.ต.ท.ศราวุธ ศิลป์สาย ร้อยเวร สภ.ศรีมหาโพธิ เรียกพบหลังนายพยม พนมบวน อายุ 27 ปี เข้าแจ้งความกล่าวหา นางผ่องศรี เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 64 เวลา 11.00 น."

ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว สืบเนื่องจากนางผ่องศรี ได้เก็บกระเป๋าผ้าของนายพยม ที่ทำตกในระหว่างการเดินทาง ซึ่งกระเป๋าผ้าดังกล่าวตกอยู่บริเวณถนนหน้าบ้านเช่าของนางผ่องศรี ในพื้นที่ ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ช่วงค่ำของวันที่ 21 ม.ค.64 ที่ผ่านมา

โดยนายพยมอ้างว่า ในกระเป๋าผ้ามีโทรศัพท์ 2 เครื่อง บัตรเอทีเอ็ม 2 ใบ และเงินสด จำนวน 4 หมื่นบาท ที่เก็บสะสมไว้เพื่อจะนำไปเข้าธนาคาร แต่เมื่อกระเป๋าผ้าหล่นหาย นางผ่องศรีกลับไม่ส่งคืน ถือว่าเป็นการลักทรัพย์ในเวลากลางคืน

537681

นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้คลิปกล้องวงจรปิด ขณะที่นายพยมทำกระเป๋าผ้าหล่นไว้ ตรงบริเวณถนนหน้าบ้านของนางผ่องศรี ต่อมานางผ่องศรีได้คุยโทรศัพท์ ก่อนจะเดินออกมาเก็บกระเป๋าผ้าที่หล่นอยู่บนพื้นถนนหน้าบ้าน จากนั้นเดินกลับไปที่หลังบ้าน ก่อนขึ้นรถจักรยานยนต์ออกไป

ล่าสุดวันที่ 3 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังหน้าบ้านเช่าของนางผ่องศรี ภายในซอยบุยายใบ ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่าเป็นถนน 2 เลน ซึ่งกระเป๋าตกอยู่บริเวณกลางถนน เลนฝั่งบ้านเช่าของนางผ่องศรี ห่างจากบ้านนางผ่องศรี 10 ม.

257759

นางผ่องศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ผู้ต้องสงสัย เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ตนกำลังจะออกไปตลาด ขณะนั้นมีสายโทรศัพท์เข้ามา ตนจึงรับสาย พร้อมกับเดินออกมาจากข้างบ้านพบว่ามีสิ่งของบางอย่างตกคล้ายกับเสื้อเด็ก แต่ก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นได้ยินเสียงรถเหยียบ ตนจึงเดินเข้าไปดู กระทั่งพบว่าเป็นกระเป๋าผ้าลายการ์ตูนสีเหลือง ใบขนาดกลาง จึงได้หยิบขึ้นมาดู

709347

ขณะนั้นกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวหนัก ตนได้เดินกลับมาไปข้างบ้าน เพื่อมาเปิดดูสิ่งของภายในกระเป๋า โดยมีโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง มีเครื่องหนึ่งที่หน้าจอแตก บัตรเอทีเอ็ม 2 ใบ และเงินแบงค์ร้อย 2 ใบ พอเห็นแล้วตนได้นำกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวเข้าไปเก็บไว้ในบ้าน

จากนั้นตนก็ออกไปตลาด ซึ่งไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องเอากระเป๋าไปแจ้งความ ภายหลังตนได้โทรศัพท์ไปบอกสามีว่าพบโทรศัพท์ สามีของตนแนะนำให้ไปแจ้งความ ด้วยความที่ตนไม่ว่าง รีบไปซื้อกับข้าว และไม่มีใครพาไป จึงไม่ตัดสินใจไป และคาดว่าเจ้าของกระเป๋าผ้าใบดังกล่าว จะต้องวนกลับมาสอบถาม

หลังจากที่ตนกลับมาจากตลาด เห็นสามีกลับมาบ้าน จึงปรึกษาว่าวันที่ 22 ม.ค.64 จะนำกระเป๋าดังกล่าวไปแจ้งความตามหาเจ้าของ แต่ขณะเดียวกันช่วงตลอดทั้งคืน ตนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ว่ามีใครโทรเข้ามาบ้าง นอกจากนี้ยอมรับว่า ลูกชายคนเล็กของตน อายุ 14 ปี เห็นว่าตนเก็บโทรศัพท์มือถือได้ เขาได้แอบถอดซิมการ์ดออกมา พอตนเห็นก็ด่าทอ ให้ใส่ซิมการ์ดกลับไปที่เดิม แต่ไม่ทราบว่า ใส่สลับกันหรือไม่

ต่อมาวันที่ 22 ม.ค.64 เวลาประมาณ 10.00น. ผู้เสียหายได้เดินทางมายังร้านค้าข้างบ้านของตน โดยมากระซิบกระซาบ ตนจึงเดินเข้าไปหา เนื่องจากเห็นหน้าแฟนสาวของนายพยม คล้ายกับบุคคลที่อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ จึงสอบถามว่ามือถือหายหรือไม่ ซึ่งแฟนสาวของนายพยมยอมรับ ตนจึงบอกให้ผู้เสียหายมาเอากระเป๋าผ้าใบดังกล่าวคืนไป พร้อมกับแจ้งว่าโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง หน้าจอแตก

579541

ขณะเดียวกันนายพยม ข่มขู่ว่า "ถ้าของผมพังนะ ถ้าของผมไม่ครบนะ ผมฟ้องนะ" โดยไร้คำขอบคุณ ซึ่งนายพยมไม่ได้พูดถึงเงิน จำนวน 4 หมื่นบาท แม้แต่คำเดียว และขี่รถจักรยานยนต์ออกไป ต่อมาประมาณ 1 ชม. ร้อยเวรสภ.ศรีมหาโพธิ โทรศัพท์มาหาตน เพื่อให้ไปหาที่ สภ.ศรีมหาโพธิ เนื่องจากเก็บของได้ พอไปถึงจึงทราบว่าในกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวมีเงินสด จำนวน 4 หมื่นบาท พอได้ยินแล้ว ใจของตนนั้นหายวูบ สะดุ้ง เพราะช่วงเช้าทำไมนายพยมมาเอาของไป ทำไมไม่พูดอะไรกับตน จากนั้นตำรวจได้ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินในมือถือ ตนพร้อมให้ตรวจ เนื่องจากตนบริสุทธิ์ใจ ตลอดการสอบคำ ตนน้อยใจตำรวจ เนื่องจากตำรวจไม่ฟังตน เอาแต่เข้าข้างผู้เสียหาย พร้อมกับกล่าวกับตนว่า "ป้านี่ตัวดีเลย ไปหยิบกระเป๋าเขามา"

827657

นางผ่องศรี เผยต่อว่า ขณะที่ตนถูกสอบปากคำ สามีตนได้ไปปรึกษาตำรวจ โดยตำรวจอ้างว่างฝ่ายตนนั้นจะเสียเปรียบหากขึ้นศาล มีโอกาสแพ้มากกว่าโอกาสชนะ จึงให้ตกลงเคลียร์ปัญหากันเอง ด้วยความที่หวาดกลัว ตนไม่เคยขึ้นศาล กลัวเสียเวลา และเสียประวัติ เลยตกลงที่จะยอมจ่ายคืนให้ เพื่อให้เรื่องมันจบ โดยนายพยม ได้ให้ตนนั้นจ่ายเงินคืน 3 หมื่นบาท โดยนายพยมอ้างว่า จะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อสร้อยคอทองคำ ให้แก่แฟนสาว เนื่องจากพ่อตาแม่ยายได้ทวงถาม ซึ่งตนก็ตอบตกลงถึงแม้ยังไม่มีเงิน แต่ก็จะกู้ไปให้ และขอจ่ายในภายในวันที่ 3 ก.พ.64

ที่ผ่านมายอมรับว่ากดดันมาก ไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน เพราะนายพยม ได้พยายามโทรหาทวงเงินอยู่เสมอ โทรมาหาตนวันละ 1 ครั้ง นายพยมนัดเจอตนที่ สภ.ศรีมหาโพธิ โดยตนไปกู้มาเงินมา จำนวน 2 หมื่นบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 10 ตนรู้สึกเสียดายเงิน จึงได้เดินไปซื้อยาหม่อง และได้พูดพร่ำเพ้อถึงเรื่องที่ประสบพบเจอ พอเจ้าของร้านยาหม่องได้ยิน ก็เลยแนะนำให้ตนร้องเรียนสื่อมวลชน ซึ่งนายพยม ทราบข่าว เขาก็มีทีท่าพูดประชดประชันว่า จะดำเนินคดีความกับตนให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งด่าทอว่าตนพูดมาก

อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า กระเป๋าผ้าใบดังกล่าวไม่มีเงินสดจำนวน 4 หมื่นบาทแน่นอน ให้ตนไปสาบานที่ไหนก็ได้ แต่ยอมรับว่าตัวเองก็ผิดที่เก็บของได้แล้ว ไม่ยอมไปแจ้งความ หรือถ่ายรูปไว้ ทั้งนี้ตนก็จะสอนลูกสอนหลานว่า หากเจอของตกแล้วไม่ควรที่จะเก็บ

818997

นายเสน่ห์ (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี สามีของของนางผ่องศรี เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ภรรยาเก็บกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวได้ ก็โทรศัพท์มาหาตน พร้อมกับบอกว่าภายในประเป๋ามีโทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง บัตร ATM และเงินสด จำนวน 200 บาท ตนก็บอกให้ภรรยาอย่าไปยุ่งกับของในกระเป๋า พร้อมทั้งบอกให้นำไปแจ้งความ จากนั้นก็ได้วางสายไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ตนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร  แต่ทราบจากภรรยาว่าลูกชายคนเล็ก วัย 14 ปี ได้ถอดซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือทั้ง 2 เครื่องที่อยู่ในกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวออกไป กระทั่งภรรยาของตนได้ดุลูกชายจึงได้ใส่ซิมการ์ดกับเข้าไปในโทรศัพท์ และคาดว่าน่าจะสลับกัน นอกจากนี้ตลอดทั้งคืนที่กระเป๋าใบดังกล่าวอยู่กับครอบครัวตนนั้น ตนไม่ได้ยินเสียงว่ามีสายเรียกเข้ามา

กระทั่งช่วงเช้า ภรรยาของตนได้นำกระเป๋าใบดังกล่าวมาให้ดู ซึ่งขณะนั้นไม่พบเงิน จำนวน 4 หมื่นบาท พบแต่เงินสด จำนวน 200 บาท โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และบัตร ATM ต่อมาช่วงสายวันที่ 22 ม.ค.64 ร้อยเวรสภ.ศรีมหาโพธิ ได้โทรศัพท์เข้ามา ระบุว่า มีผู้เสียหายทำกระเป๋าหล่น ซึ่งในกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวนั้นมีเงินสด จำนวน 4 หมื่นบาท

หลังจากที่ตนได้ยิน ยอมรับว่าตกใจมาก เป็นไปได้อย่างไร เพราะตนเห็นว่า ในกระเป๋าผ้าใบดังกล่าวมีเงินเพียงแค่ 200 บาทเท่านั้น ตำรวจได้เชิญภรรยาของตนไปสอบปากคำที่โรงพัก ตนจึงพาไป เมื่อไปถึงภรรยาของตนก็ได้ถูกนำตัวไปสอบปากคำ ส่วนตัวยอมรับว่าอารมณ์เสีย บ่นว่าครอบครัวซวยที่ไปเก็บกระเป๋าใบขึ้นมา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามาพูดคุย ระบุว่า "พี่อย่าไปพูดแบบนั้น มันเดือดร้อนถึงผม ตำรวจเขาเสียหาย" พอตนได้ยินจึงตอบโต้ แต่ตำรวจนายดังกล่าวกลับพูดว่า "ภรรยาของตนนั้นรู้ดี"

ช่วงที่พูดคุยนั้น ตนยอมรับว่าโมโห จึงขึ้นเสียงว่า "ผมอยู่กับแฟนผมมา 30 กว่าปี แฟนของผมไม่เคยมีอะไรปิดบัง ยืนยันไม่ได้เอาไป ไปสาบานที่ไหนก็ได้" และที่ผ่านมาภรรยาของตนไม่มีลักษณะนิสัยที่จะเอาเงินของใคร แต่นายตำรวจกล่าวตอบโต้ตนว่า "พี่ไม่ต้องไปสาบานที่ไหนหรอก เดี๋ยวมันเข้าตัว" ซึ่งตนก็ไม่กลัว ความจริงมันก็คือความจริง ก่อนที่นายตำรวจรายดังกล่าวจะเดินหนีไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เรียกตนเข้าไปในห้องสอบปากคำ พร้อมขอให้ตนเซ็นเอกสาร เพื่อให้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ ตนก็เซ็นให้ ภายหลังจากสอบปากคำเสร็จเรียบร้อยทางร้อยเวรได้เปิดโอกาส ให้พวกตนและผู้เสียหาย เคลียร์ปัญหากันเอง โดยการเคลียร์แบบสาริกาลิ้นทอง

722488

นายเสน่ห์ เผยต่อว่า ได้เรียกนายพยม ออกไปพูดคุยข้างนอกห้องสอบปากคำ ตนยืนยันย้ำชัดเจนว่าเงินสด จำนวน 4 หมื่นบาท ไม่มีในกระเป๋าผ้าดังกล่าว แต่ยอมรับว่าขณะนั้นสงสัย ทำไมเงินเหลือ 200 บาท ตนจึงสอบถามที่ไปที่มาของเงิน 200 บาท นายพยม อ้างว่าเงินในกระเป๋าผ้าใบดังกล่าว มีเงินสดจำนวน 40,300 บาท โดยมีแบงก์ 500 บาท จำนวน 10,000 บาท และแบงก์พัน จำนวน 30,000 บาท และแบงก์ 100 อีก 3 ใบ แต่ได้นำเงินออกไป 100 บาท เพื่อซื้อน้ำ

นอกจากนี้ นายพยมอ้างว่า เงินจำนวน 40,000 บาท เป็นเงินที่เขาเก็บสะสม เพื่อจะนำเงินเก็บจำนวนนี้ไปซื้อสร้อยคอทองคำเซอร์ไพรส์แฟน ในวันที่ 3 ก.พ.64 หลังจากคุยกันเสร็จ ตนขอแสดงความบริสุทธิ์ใจจึงได้ชักชวนนายพยม ออกไปไหว้สาบานกันที่ศาลหน้า สภ.ศรีมหาโพธิ ขณะที่ตนไหว้สาบานแล้วนั้น สิ่งที่โดนจิตโดนใจให้ตนพูดออกไปว่า หากจะให้ตนใช้หนี้ จำนวน 40,000 บาท ตนก็จะต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ดอกร้อยละ 10 ซึ่งคาดว่าจะไปกู้เจ้าหนี้ที่เคยกู้มาประจำ หรือไม่เช่นนั้นก็จะหยิบยืมคนอื่น

472798

ทางนายพยมได้เห็นใจ จึงลดจำนวน 40,000 บาทเหลือ 30,000 บาท และยืนยันว่าจะต้องได้เงินก่อนวันที่ 3 ก.พ.64 แต่ขณะนั้นตนไม่มีตัวเลือกห รือที่พึ่งทางใจ จึงต้องรับปากเอาไว้ก่อน จึงตอบตกลงว่าวันที่ 2 ก.พ.64 จะหามาให้ จำนวน 30,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเกิดเหตุ ตนไม่รู้ว่านายพยม จะเล่นแง่อะไรกับพวกตนหรือไม่ และไม่ทราบว่าเงิน จำนวน 40,000 บาทนั้น มีจริงหรือไม่ ซึ่งเงินจำนวนนี้อาจจะหายมาก่อนแล้วก็เป็นไปได้ แต่ตำรวจก็ได้กล่าวอ้างว่า ไม่มีใครจับกระเป๋าใบดังกล่าวก่อนภรรยาของตน

นอกจากนี้ ตนยอมรับว่า ภายหลังจากเกิดเรื่องตนก็รู้สึกเครียดกดดัน แต่ก็ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชน ที่เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้รู้ว่าก็มีคนที่ให้กำลังใจ แต่ตนก็ยอมรับผิดว่าภรรยาและลูกของตนนั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถึงได้เก็บกระเป๋าไว้ และลูกชายของตนได้แอบเล่นโทรศัพท์ของนายพยม หากตนอยู่บ้านเหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น และขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนแก่ภรรยาและลูกชายของตน ซึ่งตนยังได้ขอสาบานต่อเจ้าที่เจ้าทางว่า หากภรรยาของตนเอาเงินไปจริง ขอให้ตายโหง

761299

ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวถึงคดีแม่บ้านเก็บถุงผ้าได้ กลับโดนคดีลักทรัพย์ในยามวิกาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 10,000 บาท เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีคนแจ้งความไว้ ก็ต้องถูกดำเนินคดี

357647

แต่เมื่อป้ายืนยันว่ามีเงิน 200 ก็ต้องพิสูจน์ ต้องมีพยาน หลักฐานที่ยืนยัน แต่กรณีนี้ทำไมป้าไม่รีบไปแจ้งความ หรือรีบบอกคนอื่น ๆ เพื่อเป็นพยานให้เห็นความบริสุทธิ์ใจ เพราะตำรวจจะมองที่เจตนาว่า เจตนาสุจริตจริงหรือไม่ ในการเก็บทรัพย์สินไปที่บ้าน

510638

ส่วนทางเจ้าของเงิน อ้างว่ามีเงิน 4 หมื่นบาทหายไปนั้น ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า เจ้าของเงินสามารถอ้างได้ แต่ต้องมีหลักฐานที่มาของเงินมาแสดงชัดเจนว่า เงิน 4 หมื่นได้มาอย่างไร เช่น กด ATM มาจากตู้ไหน มีวงจรปิดไหม ใครโอนมา หรือรายได้จากส่วนไหน ก็ต้องมีหลักฐานที่มาของเงิน

808418

กรณีป้ายอมจ่ายคืนเจ้าของ 3 หมื่นบาท เพื่อไม่ให้มีประวัติติดตัว ดูมีพิรุธหรือไม่ ทนายรณณรงค์ มองว่า ก็ถือว่าทำได้ ไกล่เกลี่ยกันเพื่อให้จบคดี แต่ก็ต้องไปดูว่าเงิน 3 หมื่นบาท ที่นำมาจ่ายคืนเจ้าของนั้น เป็นเงินของป้าเอง หรือไปกู้ยืม ถ้าป้าบอกว่าไปกู้ยืมมา ก็ต้องนำเจ้าหนี้มาแสดงตัว แต่ถ้าหากเป็นเงินที่ป้ายักยอกไว้ ก็อาจโดนคดีเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดเมื่อเก็บของได้ แนะนำว่าควรป่าวประกาศให้คนรู้ ควรแจ้งหัวหน้างาน เพื่อเป็นพยาน แล้วรีบไปแจ้งความ ลงบันทึกประจำวันไว้ มิเช่นนั้นการเก็บของไว้กับตัว ส่อได้ถึงเจตนาลักทรัพย์

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส