กรณีชาวบ้านแจ้งตำรวจ สน.โชคชัย พบคนมั่วสุมเสพยาแล้วเสียชีวิตคาห้องพัก ในอพาร์ตเมนต์ย่านลาดพร้าววังหิน ซอย 7 แยก 5 พบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 หญิง 1 ได่แก่ นายพารวย ฉวีวรรณ หรือ ไอซ์ อายุ 27 ปี และ น.ส.ปรีดาภรณ์ โพธิ์แก้ว หรือ กุ้ง อายุ 30 ปี มีอาชีพทำงานด้านเอนเตอร์เทน
ส่วนอีกรายอาการสาหัส คือ น.ส.สุวรรณี หรือ ฝ้าย อินทไทร อายุ 27 ปี ภรรยาของนายพารวย ผู้เสียชีวิต เบื้องต้นคนใกล้ชิดแจ้งว่าผู้ตายเป็นพ่อค้าขายอาหารตามตลาดนัด ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 14 ม.ค.64 เวลา 10.30 น. ที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ญาติของนานพารวย และน.ส.ปรีดาภรณ์ เดินทางมารับศพ
โดยนางกองทรัพย์ โพธิ์แก้ว อายุ 55 ปี แม่ของน.ส.ปรีดาภรณ์ หรือ กุ้ง กล่าวว่า ตนทราบเรื่องช่วงเที่ยงคืน ตกใจมาก รีบเดินทางมาจาก จ.ปราจีนบุรีพร้อมกับหลานสาววัย 10 ขวบ และหลานชายวัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของผู้ตายทันที
ทั้งนี้ตนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกสาวเข้ามาทำงานเป็นพีอาร์ร้านเหล้าได้ประมาณ 7 ปีแล้ว ที่ผ่านมาส่งเงินให้ทางบ้านตลอด ก่อนหน้านี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ยอมรับว่าลูกเคยติดยาเสพติด จนร่างกายซูบผอม ตนจึงพาไปบำบัดที่ จ.จันทบุรี เป็นเวลา 2 เดืออาการดีขึ้น สามารถเลิกยาได้ และกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ได้ตามปกติ ตนก็คิดว่าลูกน่าจะเลิกยาได้แล้ว
กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลูกประสบอุบัติเหตุรถชน ทำให้มีแผลที่บริเวณใบหน้า คาดว่าลูกน่าจะเครียด เพราะปกติต้องใช้หน้าตาในการทำงาน และตัดสินใจกลับไปใช้ยาเสพติดอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ตนเตือนลูกสาว เรื่องเคนมผง ที่มีข่าว ไม่ให้ลูกไปยุ่งเกี่ยว เพราะมีคนตาย ลูกก็บอกว่าไม่ได้ใช้ ตนก็วางใจ
หลังเกิดเหตุตนเสียใจมาก เหมือนเป็นความฝัน เพราะกะทันหันเกินไป ตอนนี้ยังไม่กล้าบอกหลาน 2 คน ซึ่งเป็นลูกของผู้ตาย เพราะกลัวจะช็อกและทำใจไม่ได้
โดยนางกองทรัพย์ ยังได้เปิดแชตที่คุยกับลูกสาวในวันที่ 12 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่งได้คุยกับลูกสาวว่า “ดูข่าวไหมดมเคตายเยอะเลย” ซึ่งลูกตอบกลับว่า ”รู้แล้ว หนูไม่ได้ดมเยอะขนาดนั้น เน้นกินเบียร์” ก่อนที่จะเตือนซ้ำอีกว่า จะทำอะไรให้นึกถึงลูกบ้าง ลูกกำลังโต
เวลา 10.30 น. ที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ญาติของนานพารวย และน.ส.ปรีดาภรณ์ เดินทางมารับศพ นางพวงเพ็ญ สิงหะ อายุ 47 ปี น้าสาวนายพารวย กล่าวว่า ได้คุยกับหลานชายเมื่อ 2 วันที่แล้ว โดยหลานมายืมรถไปส่งกุยช่าย ตนก็ให้ยืมไปเพราะรู้ว่าหลานทำมาหากิน ดูแลครอบครัว โดยตนไม่เคยรู้เรื่องพฤติกรรมการใช้สารเสพติดของหลานชาย เพราะอยู่กันคนละบ้าน และที่ผ่านมาหลานก็ไม่เคยมาปรึกษาเรื่องปัญหาหรือความเครียด ซึ่งตนคิดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรื่องการค้าขายที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้หลานเกิดความเครียดหันไปพึ่งสารเสพติด
หลังมีข่าวเรื่องยาเสพติดชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เคนมผง” ตนไม่เคยคุยกับหลานชายเรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าหลานจะมายุ่งเกี่ยว จึงไม่ได้ใส่ใจ โดยหลังทราบข่าวคนในครอบครัวช็อกทุกคน ทั้งแม่ ยาย และตัวเรา เพราะพวกตนอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ โดยแม่ของตน ยายผู้ตาย อาการแย่มาก กินข้าวไม่ลงหลังทราบข่าว ส่วนอาการของน.ส.สุวรรณี หรือ ฝ้าย ภรรยานายพารวย ตนยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะมีญาติฝั่งผู้หญิงคอยดูแล
ทั้งนี้นายพารวยมีลูก 3 คน ผู้หญิง 2 คน อายุ 11 ปี และ 10 ปี คนเล็กเป็นผู้ชายอายุ 5 ขวบ ตอนนี้คนเล็กยังไม่ทราบเรื่อง ซึ่งทางครอบครัวก็ยังไม่อยากบอก กลัวจะรับไม่ได้ โดยกระแสข่าวที่ออกมาแล้วมีคอมเมนต์บางส่วนที่บอกว่า “สมควรตาย” ตนอยากให้เจอกับตัวจะได้รู้ ไม่อยากให้มาซ้ำเติมกัน ควรจะมองถึงใจเขาใจเราบ้าง
ทีมข่าวเดินทางขึ้นไปที่ห้องพักของย่า น.ส.ฝ้าย ซึ่งพักอยู่ในคอนโดฯ เดียวกัน แต่อยู่คนละอาคาร ขึ้นไปพบว่าห้องปิดเงียบ ด้านหน้ามีของวางอยู่จำนวนมาก ซึ่งพบว่ามีเสียงคนอยู่ภายใน แต่ไม่ยอมเปิดประตู
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งพบว่า ย่าของฝ้าย ยอมเปิดบานเกล็ดออกมาพูดคุย ระบุสั้น ๆ ว่า ตนไม่ได้พักผ่อนตลอดคืน ไม่ได้กินข้าวเช้า ตนจะเป็นลม และไม่ทราบเหตุ ส่วนตัวรู้ว่าอาการของฝ้ายตอนนี้ยังโคม่า ซึ่งไม่มีใครเฝ้า เพราะเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้เยี่ยม ต้องรอพ่อเขาคนเดียว
ส่วนตัวเลี้ยงแต่ลูกของผู้บาดเจ็บ ไม่รู้เรื่องว่าเขาไปยุ่งเกี่ยวยาเสพติด เย็นวันนี้พ่อของฝ้ายจะไปดูอาการ มีช่วงหนึ่งย่าได้บอกว่าขอโทษจริง ๆ เสียงสั้น ๆ คล้ายจะร้องไห้ และยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ทีมข่าวเดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ อาคาร 1 ชั้น 3 ห้อง 16/275 ในซอยลาดพร้าววังหิน 7 พบว่าวันนี้ครอบครัวตั้งใจเดินทางมา และนิมนต์พระสงฆ์เพื่อเชิญดวงวิญญาณ แต่ปรากฏว่าเมื่อพบนักข่าว ญาติได้หันหลังเดินกลับทันที ไม่นานแม่และพี่ชายของไอซ์ ก็กลับมาที่ห้องพัก โดยระบุว่าเหนื่อยทั้งวัน จึงไม่อยากให้ข้อมูล จากนั้นเดินขึ้นไปที่ห้องเกิดเหตุ ก่อนจุดธูป 1 ดอก บางช่วงแม่ร้องไห้ออกมา และเรียกนายไอซ์ ขอให้กลับไปกับแม่ ไม่นานก็เดินทางกลับ
ระหว่างเดินลงจากที่ห้องพัก นางวชิราภรณ์ สิงหะ มารดาของ นายพารวย หรือ ไอซ์ เดินลงมาพร้อมกับพี่ชาย ให้สัมภาษณ์ ระบุว่า วันนี้ตนยังทำใจไม่ได้ ตนเหนื่อยมาทั้งวัน ส่วนตัวเชื่อว่าลูกชายตั้งใจจะทำร้ายตัวเอง เนื่องจากความเครียดเรื่องธุรกิจและเงิน
เพราะที่ผ่านมาลูกชาย และสะไภ้เคยโพสต์เกี่ยวกับเรื่องจะคิดสั้น แต่ครอบครัวไม่เคยเห็น จะมีเพียงเพื่อน ๆ ของลูกมาบอกตน อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าลูกชายใช้วิธีนี้ในการปลิดชีวิตตัวเอง ลูกชายตนคิดโง่ ๆ หาทางออกผิด ๆ ตนก็เสียใจ แต่ตนไม่โกรธลูก ขออโหสิกรรม และหลาน ๆ ตนจะดูแลให้หลังจากนี้
ด้านพี่ชายนายไอซ์ ยืนยันว่า น้องชายไม่เคยบ่นอะไร ไม่ได้มาปรึกษาอะไร มีเพียงเรื่องธุรกิจที่ขายของในตลาดอินดี้ ที่เพิ่งนำเงินแม่ไปลงทุนหลักแสนบาท และเหมือนว่าช่วงนี้ลงทุนไปแล้วเศรษฐกิจไม่ดี อีกทั้งเป็นเงินทุนก้อนสุดท้ายที่แม่จะให้ไปลงทุน
โดยข้อความที่น.ส.ฝ้าย ภรรยานายไอซ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ถ้าวันนี้ที่แม่ไม่อยู่ แม่อยากบอกลูก ๆ ว่าแม่รักลูกมากนะ"
ความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊กของนายไอซ์ วันที่ 25 ธ.ค.63 เวลา 15.06 โพสต์ข้อความ ระบุว่า "__เด็กมันไม่รู้เรื่อง__ไร ไม่ต้องไปแชร์โพสต์รูปลูกกู__กูเงียบมานานละ อยากได้ไปแจ้งความเอา กูไม่มี ไม่ต้องมาออกลูกมองข้ามกูหลอก__ติดใจมาเลย กูอยู่ลาดพร้าว 46 สดจัง__"
วันที่ 25 ธ.ค.63 เวลา 15.40 น. โพสต์ข้อความ ระบุว่า "เด็ก__อย่าผมเด๋วแบกอายุให้ครับ"
วันที่ 25 ธ.ค.63 เวลา 16.58 น. โพสต์ข้อความ ระบุว่า "ทำตัวทรงซ้อ โธ้อีเด็ก__"
ทีมข่าวยังพบคนดูแลห้องพักที่ให้ผู้ตายเช่ามาที่เกิดเหตุ พร้อมเปิดห้องพักที่เกิดเหตุให้ทีมข่าวดู พบข้าวของกระจัดกระจาย ในห้องมีการติดไฟดิสโก้ไว้ ซึ่งมีการเปิดช่วงที่เกิดเหตุ นอกจากนี้พบว่ามีตำรวจ สน.โชคชัย นำรถจักรยานยนต์จองผู้ตายไปตรวจสอบ ซึ่งได้รับการยืนยันภายหลังว่า ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ
ทีมข่าวสอบถามผู้ดูแลห้องที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ผู้ตายเพิ่งมาเช่าห้องได้ 5-6 เดือน ตนเป็นคนดูแลเก็บค่าเช่า ผู้ตายจ่ายเงินครบมาตลอด มีเดือนล่าสุดยังค้างไว้ 1 เดือน ราคา 2,400 บาท ซึ่งตนก็ไม่ได้ทวงอะไร เพราะก็เห็นใจกัน นอกจากนี้ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้ตายเคยถูกชาวบ้านในตึกร้องเรียนเรื่องเสียงดัง ซึ่งตนก็ตักเตือนไปว่าหากเสียงดังแบบนี้ ตนจะให้ย้ายออกจากห้อง
นอกจากนี้ผู้ตายยังเคยปรึกษาตน ทำนองว่าพอมี "แหล่งเงินกู้" หรือไม่ ซึ่งจะกู้ไปลงทุน ตนได้ปฏิเสธไป ทำให้ตนไม่ทราบรายละเอียด ยอมรับว่าตกใจ หลังจากนี้คงจะทำบุญที่ห้อง เพื่อความสบายใจ และต้องดูว่าจะปล่อยเช่าห้องนี้ได้อีกหรือไม่
ทีมข่าวเดินทางมาพบกับ นางสมลักษณ์ มีสังข์ ผู้ดูแลอาคารที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า น.ส.ฝ้าย ผู้บาดเจ็บ เป็นคนพูดเสียงดัง โดยอาศัยกับสามีที่ชื่อไอซ์ ช่วงหลังปีใหม่ตนสังเกตเห็นนายไอซ์เมาอยู่บ่อยครั้ง ลักษณะเดินเหม่อ ๆ ตาลอย ๆ ผ่านไปมา แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไร ส่วนตัวจะเป็นคนเก็บค่าน้ำ ค่าส่วนกลาง ซึ่งช่วงเดือนที่ผ่านมา นายไอซ์ยังค้างค่าน้ำอยู่
ที่ผ่านมา น.ส.ฝ้าย เคยไปพูดกับชาวบ้านทำนองว่า ผู้ชายไม่ค่อยทำงาน จึงจะต้องเป็นคนทำงานคนเดียว และยังไปบ่นทำนองว่าหนี้สินเยอะ เครียด อยากจะตาย ก่อนจะเกิดเหตุยังมีการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการสั่งเสียลาลูก ทำนองว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว
นอกจากนี้ช่วง 4-5 วันก่อนจะเกิดเหตุ นายไอซ์ ยังมีอาการเมาหนัก และกลับมาที่ห้อง จากนั้นเปิดประตูห้องไม่ได้ และมีการทุบทำลายบานเกล็ดห้องข้าง ๆ ซึ่งอยู่ติดกับห้องของผู่ตาย จนตนต้องเดินขึ้นมาดูเพราะเสียงดัง เมื่อนายไอซ์เห็นตนก็สอบถามว่าต้องจ่ายค่าบานเกล็ดราคาเท่าไร ซึ่งตนก็ไม่ได้ว่าอะไร
นางสมลักษณ์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติม ระบุว่า ย่าของ น.ส.ฝ้าย เมื่อวานนี้เป็นคนมาเห็นศพ หลังจากที่มาเจอศพแล้วคิดว่าหลานหลับไม่ตื่น เพราะยังได้ยินเสียงฝ้ายคล้ายกับกรนอยู่ จึงเอาถังใส่น้ำสาดใส่ตัว สุดท้ายไม่ตื่นจึงเรียกรถพยาบาล
น.ส.ศศิธร เกิดบัว อายุ 35 ปี เพื่อนนายพารวย หรือ ไอซ์ ผู้ตาย กล่าวว่า ที่ผ่านมานายไอซ์เป็นคนเรียบร้อย ขยันทำมาหากิน โดยตนไม่เคยทราบเรื่องการใช้สารเสพติดของอีกฝ่าย ส่วนตัวมองว่า นายไอซ์น่าจะเห็นข่าวเรื่องวัยรุ่นที่เสียชีวิตจากสารเสพติดชนิดใหม่ หรือ เคนมผง เพราะเป็นข่าวใหญ่ เชื่อว่าไอซ์น่าจะตั้งใจใช้
เนื่องจากก่อนหน้านี้ 2 วัน น.ส.ฝ้าย ภรรยานายไอซ์ โพสต์ข้อความในลักษณะคล้ายสั่งเสียถึงลูกทั้ง 3 คน ประกอบกับนายไอซ์ เป็นคนขี้น้อยใจ อาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจจนตัดสินใจก่อเหตุ
ส่วนเรื่องหนี้สินตนไม่รู้เรื่อง แต่ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี นายไอซ์เคยยืมเงินตนหลักพัน น่าจะเป็นการยืมกินยืมใช้ โดยคืนเงินตามเวลา แต่ยืมต่อกันหลายครั้ง จากนั้นก็เงียบหายไปหลังเริ่มมาทำธุรกิจค้าขายขนมครกเป็นของตัวเอง ทั้งนี้ตนเสียใจและนอนไม่หลับหลังทราบเรื่อง ไม่คิดว่าเพื่อนจะมาเสียชีวิตอย่างกะทันกัน
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านของ นานศิรธีร์ โก๋ทอง หรือ เต๋า หนึ่งในคนเจ็บ ซึ่งพบว่าบ้านเป็นร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ได้พบกับนายนพรุจ โก๋ทอง พี่ชายของนายเต๋า เปิดเผยว่า ส่วนตัวช่วงเกิดเหตุไม่ได้อยู่บ้าน มีพ่อตนอยู่ โดยพ่อแม่โทรหาตน ระบุว่าต้องพาน้องเต๋าไปโรงพยาบาล โดยพ่อเล่าว่า เมื่อน้องเต๋ากลับมาจากห้องที่เกิดเหตุ โดยที่เพื่อนมาส่ง จากนั้นก็เข้าไปนอนทันที โดยหัวทิ่มลงหมดเลย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเต๋าเป็นอะไร แต่เพื่อน ๆ น่าจะรู้
ส่วนเรื่องเสพยา น้องเต๋าก็มีเสพบ้าง ครอบครัวก็คอยเตือน แต่ไม่เคยรู้เรื่องเคนมผง เห็นแต่ตามข่าว จากนั้นตนได้รับสายจากแม่อีกว่า น้องเต๋าดูร่างกายไม่ไหว เหมือนจะไม่หายใจ หายใจแรง แบบเฮือก ๆ จนแม่ต้องโทรเรียกรถให้ส่งโรงพยาบาล เวลา 14.00-15.00 น.
ส่วนเต๋าไปที่ห้องเกิดเหตุ เวลา 02.00 น. และกลับมาน่าจะช่วงหลังเที่ยงของวานนี้ คืนก่อนเกิดเหตุ ตนยังเจอน้อง คุยกับน้องปกติ น้องไม่เคยเล่าเรื่องเคนมผงให้ฟัง อาการตอนนี้ยังไม่ปกติ โดยออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา มานอนอยู่ที่บ้าน และช่วงเช้าเวลา 08.00 น. หมอนัดไปตรวจร่างกาย และไปสอบปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยเท่าที่ตนได้คุยกับแม่ ระบุว่า น้องยังมีอาการเหมือนจะหลับตลอดเวลา ตอนสอบปากคำยังให้การงง ๆ จู่ ๆ ก็หัวทิ่มหลับ ยังไม่ฟื้นตัวดี กินข้าวยังไม่ได้ กินแล้วอาเจียนออกมา ยาตัวนี้ตนไม่ทราบว่าไปเอามาจากไหน ตำรวจสอบปากคำน้องชายก็ยังตอบไม่รู้เรื่อง ส่วนน้องตนกับผู้ตายค่อนข้างสนิทกัน แต่ไปที่ห้องเกิดเหตุตนไม่รู้ว่าไปบ่อยหรือไม่ คนตายมาที่บ้านตนบ่อย ซึ่งนับถือกันเป็นพี่น้อง ยอมรับว่าเท่าที่เห็นพบว่าผู้ตายค่อนข้างเครียด ตนคิดว่าผู้ตายหาทางออกผิด หากคิดฆ่าตัวตายโดยการเสพยา ตนสงสารลูกผู้ตาย 3 คน คนเล็กเพิ่งเรียนชั้นอนุบาล ตนมองว่าไม่น่าคิดสั้น อีกมุมตนมองว่าอาจจะคึกคะนอง
