กรณีตำรวจสภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้นำตัวผู้ต้องหาก่อเหตุยิงร้านลาบ เลขที่ 84 หมู่ 11 ถนนทรงธรรม ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณจุดเกิดเหตุ
สืบเนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. ของวันที่ 25 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา นายกมล โมฆรัตน์ อายุ 29 ปี เป็นคนที่มีปัญหากับเจ้าของร้านลาบอีสาน เนื่องจากคิดว่านายบัวกัน แสวงดี อายุ 48 ปี เจ้าของร้านอาหารอีสาน แอบตีท้ายครัวภรรยา จึงได้ชี้เป้าให้กับ นายสุวิทย์ เบิกบาน อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นเพื่อน ขี่รถจักรยานยนต์ ทะเบียน 4 กด 9827 กรุงเทพฯ แล้วใช้อาวุธปืนบีบีกันดัดแปลงยิงเข้าไปในร้านลาบ
โดยยิงเข้าไปในร้าน จนร้านได้รับความเสียหายที่ตู้กระจกขายของ บานประตูกระจกหน้าบ้าน ม่านบังแดดหน้าร้าน โดยหลังก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ซึ่งกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุสามารถจับภาพผู้ต้องหาได้ในขณะก่อเหตุ อีกทั้งในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรวจพบหัวกระสุน 2 หัว ปลอกกระสุน 1 ปลอก และลูกกระสุนขนาด .380 จำนวน 2 ลูก
เจ้าหน้าที่ตำรวจตามไปเจอตัวนายกมลที่บริเวณวัดบางน้ำผึ้งนอก พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุจสืบ ส่วนนายสุวิทย์ มือปืน เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าพักอาศัยอยู่กับเพื่อนที่อพาร์ตเมนต์ย่านคลองตัน จึงเดินทางตามไปจับกุมตัวได้พร้อมของกลาง
โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยทั้งคู่ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนจึงส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุดวันที่ 27 ธ.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ (ร้านอาหารอีสาน) ยังคงพบรอยกระจกแตกจากวิถีกระสุนและรูบนกะละมัง
นายบัวกัน แสวงดี อายุ 48 ปี เจ้าของร้านอาหารอีสาน ให้สัมภาษณ์ว่า ตนอาศัยอยู่ที่นี่กับภรรยาและครอบครัวมาหลายปีแล้ว โดยในวันเกิดเหตุ วันที่ 25 ธ.ค.63 เวลาประมาณ 14.30 น. ตนกำลังนั่งพักอยู่บริเวณหน้าบ้าน จู่ ๆ นายสุวิทย์ ก็ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาพร้อมปืนยิงเข้ามาภายในบ้านของตน
โดย 2 นัดแรก ตนได้ยินเสียงปืนคล้ายเสียงยางรถยนต์ระเบิด แต่ตนไม่ได้เอะใจ เนื่องจาก 2 นัดแรกนี้กระสุนได้ตกลงบนพื้น แต่ไม่ถูกยิงออกมา จากนั้นนายสุวิทย์ก็ได้ยิงปืนอีก 3 นัด ทะลุตู้ส้มตำโดนกระจกประตูบ้าน ทะลุกะละมัง และทะลุฝาโอ่ง เมื่อเห็นดังนั้นตนเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ประกอบกับเป็นห่วงคนในบ้าน จึงได้วิ่งกลับเข้าไปภายในบ้าน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตราย จากนั้นตนจึงได้รีบเดินทางไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ทั้งนี้ที่นายกมล อ้างว่าตนแอบมีใจให้กับภรรยาของเขา ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง นายกมลและภรรยาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ห้องเช่าได้เพียง 5-6 เดือน ซึ่งตนไม่เคยพูดคุยหรือยุ่งเกี่ยวด้วย ทั้งนี้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้ เพราะหลายวันก่อนหน้านี้ ตนมีความหวาดกลัวว่าคนร้ายอาจจะกลับมาก่อเหตุซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ตนก็รู้สึกสงสารภรรยาของนายกมล ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว เลี้ยงลูกวัย 5 ขวบตามลำพัง ซึ่งตนรับรู้มาว่าเจ้าตัวมีความเครียด แต่ตนไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรต่อไป หรือจะประกันตัวสามีหรือไม่
นายกมล เล่าว่า ตนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับภรรยาและลูกได้เพียง 5-6 เดือน ซึ่งห้องพักของตนอยู่ติดกับบ้านของผู้เสียหาย ตนสังเกตเห็นนายบัวกัน ชอบแอบมองภรรยาของตนอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่พอใจและก่อนเกิดเหตุในครั้งนี้ ประมาณ 1 สัปดาห์ ตนกลับมาพอดีเห็นนายบัวกันเดินออกมาจากทางขึ้นห้องพักของตน จึงทำให้ตนสงสัยและเดินเข้าไปถามจนเกิดมีปากเสียงกัน ทำให้ตนไม่พอใจจึงได้ไปเล่าให้นายสุวิทย์ฟัง จากนั้นจึงได้วางแผนกันเพื่อจะมาข่มขู่ให้นายบัวกันกลัว จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับภรรยาของตนอีก
นายสุวิทย์มือปืน เล่าว่า ที่ตนลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ เพราะนายกมล ให้มายิงขู่ผู้เสียหาย เพราะนายกมล บอกว่านายบัวกัน ชอบแอบมองภรรยา แล้วเหมือนแอบมีอะไรกัน ตนเลยรับปากนายกมล โดยได้นำปืนที่ตนมีอยู่มาพร้อมกับนายกมล ลงมือยิงไป 3 นัด จากนั้นก็หลบหนีไปที่ห้องพักย่านคลองตัน กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาจับตนได้ที่ห้องพัก แต่ตนไม่มีเจตนาที่จะทำให้เจ็บหรือถึงแก่ชีวิต แค่อยากข่มขู่ไม่ให้มายุ่งตามคำสั่งเพื่อนเท่านั้น
จากนั้นทีมข่าวได้ตามหาตัวของนายเอ (นามสมมติ) ชายสติไม่ดี ที่อาศัยอยู่ภายในวัดโปรดเกศเชษฐาราม ซึ่งตั้งอยู่ข้าง ๆ บ้านของนายบัวกัน เพื่อเทียบลักษณะภาพนอกของทั้งคู่ว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร เพราะคนบ้ารายนี้เป็นคนแอบปีนเข้าไปในบ้านนายกมล
ทีมข่าวพบตัวของนายเอ กำลังนอนอยู่ ทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ แต่นายเอก็ได้ยืนและหันหน้ามาให้ทีมข่าวบันทึกภาพ
จากการตรวจสอบพบว่านายเอ สูงประมาณ 160 เซนติเมตร รูปร่างผอม ผิวคล้ำ ส่วนนายบัวกัน สูงประมาณ 165 ซม. รูปร่างผอม ผิวคล้ำ (แต่น้อยกว่านายเอ) ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านเพิ่มเติมพบว่าหากมองไกล ๆ หลายคนก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่าทั้งคู่เป็นคนเดียวกัน
