กรณีสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ ที่ส่งผลกระทบทำให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหาย บางพื้นที่ถูกตัดขาด เช่น พื้นที่บ้านยอดเหลือง ต.นาเหรง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “มาณพ กิจวิจิตร” ได้แชร์คลิปการเดินทางของชาวบ้านและเด็กนักเรียน ที่ต้องเดินทางด้วยรอก เพื่อข้ามจุดที่สะพานขาด พร้อมระบุข้อความว่า "เมื่อ ร.ร.เปิด แต่ถนนยังไม่มีใครทำ ความลำบากอยู่ที่เด็กไป ร.ร. สิครับท่าน ควรตกลงกันได้แล้วครับ"
ล่าสุดวันที่ 8 ธ.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมายัง บ้านยอดเหลือง ต.นาเหรง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช มีทั้งหมด 50 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมดประมาณ 200 คน คิดเป็นนักเรียนอายุประมาณ 3 ขวบ ไปจนถึงอายุ 18 ปี ประมาณ 30 คน นักศึกษามหาวิทยาลัยประมาณ 5 คน และพระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านคลองสัน จำนวน 6 รูป
ในเวลา 19.15 น. กองพันทหารช่างที่ 5 กองพลทหารราบที่ 5 ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ได้นำรถแบ็กโคมายังพื้นที่สะพานขาด เพื่อเตรียมให้การช่วยเหลือแก่ชาวบ้านเท่าที่ทำได้ โดยหวังที่จะถมดินเพื่อเปิดทางให้คนและรถจักรยานยนต์สามารถสัญจรได้โดยไม่ต้องใช่สลิงและรอก
สำหรับสะพานที่น้ำพัดขาด รวมกับพื้นที่ถนนแล้วมีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งสะพานขาด 3 จุด จุดแรกเสียหายเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากปี 54 ซึ่งไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาให้ความช่วยเหลือ นอกจากเทศบาลตำบลนาเหรง ที่สามารถช่วยซ่อมสะพานพอให้สัญจรได้เล็กน้อย จุดที่ 2 และ 3 เนื่องจากวิกฤตน้ำท่วมปี 63 ในวันที่ 2 ธ.ค.63 เวลาประมาณ 17.00 น. โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
โดยการเดินทางในแต่ละวันของชาวบ้านจากจุดที่ 1 ไปจนถึงจุดที่ 3 ชาวบ้านจะต้องเดินเท้าจากจุดแรกอ้อมเข้าส่วนทุเรียน กลับขึ้นมาเดินบนถนน แล้วใช่เชือกสลิงและรอกที่ขึงไว้กับต้นไม้ เพื่อเดินทางข้ามสะพานที่ขาด
ทีมข่าวได้เดินสำรวจสะพานและถนนพร้อมชาวบ้าน พบว่าความเสียหายตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 ทำให้ถนนทรุดทั้ง 2 เลน สูงไม่เท่ากัน ส่วนความเสียหายจากวิกฤตน้ำท่วมปี 63 ที่ชาวบ้านต้องติดตั้งระบบสลิงและรอก คิดเป็นระยะทางความเสียหายเป็นระยะทางประมาณ 200 เมตร ใช้เชือกหนาเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ซม. ความยาวไม่ต่ำกว่า 500 ม. ทีมข่าวได้ลองเดินทางด้วยสลิงและรอกพบว่าต้องใช้แรงคนในการดึง มีความเสี่ยงที่คนจะตกลงมากระแทกกับหินด้านล่าง หรืออาจร่วงตกน้ำที่ไหลเชี่ยวได้
นายสุรชัย โชคสวัสดิ์ อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านบ้านยอดเหลือง บอกว่า บ้านยอดเหลืองได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเริ่มตั้งแต่ปี 31, 54 และ 63 โดยปี 31 เป็นเหตุทำให้บ่านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านได้รับความเสียหายประมาณ 9 หลัง ส่วนปี 54 เป็นเหตุทำให้ถนนบางส่วนพังทลาย และต่อมาปี 63 เป็นเหตุทำให้สะพานถล่ม
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นมา ตนใช้เวลา 10 ปี ในการร้องขอความช่วยเหลือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย จนกระทั่ง 20 วันก่อน มีหน่วยงานกรมทางหลวงติดต่อเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซมถนนบางส่วนจากเหตุปี 54 ให้กับหมู่บ้าน แต่โชคร้ายยังไม่หมด เนื่องจากสะพานถล่มเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ตนขอขอบคุณสื่อที่ช่วยนำเสนอความเดือดร้อนของชาวบ้าน ขอขอบคุณหน่วยงานทหารกองทัพภาคที่ 4 ที่ติดต่อเข้ามาให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น แต่ตนอยากจะวอนขอทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำลังดูอมรินทร์ ทีวี อยู่ ขอให้หน่วยงานเข้ามาติดต่อบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน ขอให้ช่วยซ่อมสะพานให้อย่างถาวร อย่าปล่อยให้เด็กนักเรียนต้องโหนเชือกโหนสลิงเดินทางไปโรงเรียนด้วยความลำบากและเสี่ยงอันตราย
โดยยอดบริจาคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมกับอมรินทร์ ทีวี ตั้งแต่วันที่ 4-8 ธ.ค.63 อัปเดตล่าสุดเวลา 20.30 น. อยู่ที่ 8,147,689.47 บาท ท่านสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่ ชื่อบัญชี "อมรินทร์รวมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 061-8-88293-4
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้นำข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม รวมน้ำหนัก 2.8 ตัน พร้อมด้วยน้ำมันพืชจำนวน 280 ขวด (ขวดละ 1 ลิตร) และปลากระป๋องจำนวน 2,800 กระป๋อง นำไปมอบให้แก่บ้านดอนยาง หมู่ 6 ต.สวนหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช มีครัวเรือนทั้งหมดประมาณ 130 ครั้วเรือน
โดยมีนายฉลอง คงทอง อายุ 51 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.สวนหลวง พร้อมชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรอต้อนรับอยู่ ซึ่งในวันนี้รถบรรทุกที่บรรทุกของแจกจ่ายได้รับความอนุเคราะห์จากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 105 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 ได้ส่งนายทหารมาจำนวน 3 นาย เพื่อช่วยทีมข่าวขนย้ายข้าวสาร น้ำมัน และปลากระป๋อง
ขณะที่ทีมข่าวกับชาวบ้านได้ช่วยกันขนย้ายเครื่องอุปโภคบริโภค ทีมข่าวได้สังเกตเห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่ชาวบ้านได้รับนั้นค่อนข้างหนัก ซึ่งถึงแม้ระดับน้ำจะลดลง แต่พืชผักของชาวบ้านและบ้านเรือนยังคงต้องฟื้นฟู
อย่างไรก็ตาม สิ่งของที่มอบให้ชาวบ้านในวันที่ 8 ธ.ค.63 ในพื้นที่หมู่ 6 ต.สวนหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 130 ครัวเรือน ได้แก่ ข้าวสาร จำนวน 2,800 บาท น้ำมันพืช 280 ขวด และปลากระป๋อง 2,800 กระป๋อง โดยยอดเงินที่จัดซื้อสิ่งของดังกล่าว จำนวน 159,600 บาท
.jpg)
