จากกรณี นายพีรพล ยศพงศ์อนันต์ หรือ “เปา” พร้อมพวกทั้งหมด 7 คน หนึ่งในนั้นเป็นลูกของตำรวจ ร่วมกันบุกเข้าทำร้ายนายสมเกียรติ ศรีจันทร์ อาชีพขายขนมปังที่ย่านโชคชัย 4 จนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2559 ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ถูกดำเนินคดี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (11 ก.พ.) ที่วัดธรรมศาลา ต.ธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม ครอบครัวศรีจันทร์ ได้จัดงานฌาปนกิจศพ นายสมเกียรติ หลังคดีผ่านไปนานกว่า 1 ปี 8 เดือน โดยมีญาติพี่น้องเข้ามาร่วมงาน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า แต่ไม่พบว่ามีญาติของผู้ต้องหาเข้ามาร่วมงานแต่อย่างใด
นางทองคำ ศรีจันทร์ อายุ 66 ปี แม่นายสมเกียรติ เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจจัดงานฌาปนกิจศพให้ลูกชาย หลังจากศาลอาญาตัดสินลงโทษผู้ต้องหาแล้ว ซึ่งตนน้อมรับคำตัดสินของศาล และรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมแล้ว จึงจัดงานเผาศพให้ลูกชาย เพราะตนก็อายุมาก สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ประกอบกับอยากให้ลูกนั้นหมดห่วง
นางทองคำ บอกว่า ถึงแม้ทุกวันนี้ ตนจะยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูกชาย แม้ผู้ต้องหาจะได้รับโทษหลายปี แต่ตนรู้สึกว่า พวกเขามีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ และยังมีโอกาสได้ออกมาพบหน้าพ่อแม่ แต่ตนไม่มีสิทธิ์จะได้พบหน้าลูกชายอีกแล้ว ทั้งที่ลูกชายไม่ได้ทำอะไรผิด และพิการมาแต่กำเนิด แต่ยังขยันประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว ตนจึงฝากเตือนไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่ทำอะไรแล้วไม่ไตร่ตรอง ให้นึกถึงผู้สูญเสียว่า คนที่เสียใจมากที่สุดก็คือพ่อแม่
ด้าน
นายเมธัส ผลประเสริฐ อายุ 28 ปี หลานชายนายสมเกียรติ และเป็นผู้ที่ดูแลร้านขนมปังต่อจากนายสมเกียรติ เปิดเผยว่า หลังจากที่น้าชายของตนเสียชีวิต ที่ร้านก็ต้องทำงานเหนื่อยกันมากขึ้น เพราะมีคนดูแลอยู่เพียง 4 คน ส่วนลูกค้าที่เข้ามาภายในร้าน มีแต่คนคิดถึงและถามความคืบหน้าคดีเสมอ เนื่องจากน้าชายเป็นที่รักของลูกค้า ตนยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสีย เนื่องจากเห็นน้าถูกทำร้ายต่อหน้า ทุกวันนี้ยังคิดถึงน้าชายอยู่เสมอ
ทั้งนี้ นายเมธัส บอกว่า โทษที่ผู้ต้องหาได้รับน้อยเกินไป ส่วนตัวคิดว่าผู้ต้องหา ควรจะได้รับโทษมากกว่านี้ เพราะการกระทำของกลุ่มวัยรุ่นเหมือนคนบ้าคลั่ง ตั้งแต่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาและญาติของผู้ต้องหาไม่เคยเข้ามาเยียวยา และไม่เคยเข้ามาขมาศพสักครั้ง แม้กระทั่งวันนี้
ขณะที่
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีว่า เดือนหน้าจะเตรียมยื่นอุทธรณ์เพิ่มโทษผู้ต้องหา ในเรื่องฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะตำรวจส่งสำนวนไปเพียงร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเท่านั้น
นายอนันต์ชัย บอกว่า จากข้อหาดังกล่าวจะทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตเสียสิทธิ์ เนื่องจากโทษข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนจะสูงถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
นอกจาก นายอนันต์ชัย บอกว่า การที่ได้เข้ามาช่วยทำคดีนี้ เพราะนายสมเกียรติเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และบ้านตนอยู่ตรงข้ามกับร้านขนมปัง จึงมีโอกาสได้พูดคุยกับนายสมเกียรติอยู่บ่อยครั้ง นายสมเกียรติเป็นคนดี หาเลี้ยงครอบครัวอย่างสุจริต แต่กลับต้องถูกกลุ่มผู้ต้องหารังแก ช่วงที่ตนเห็นภาพเหตุการณ์รู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่เหมือนคนบ้าคลั่ง เพราะมีการโทรศัพท์เรียกพวกมาเพิ่มด้วย
ก่อนหน้าที่นายสมเกียรติ จะเสียชีวิต ได้หันมาสบตาตนคล้ายขอความช่วยเหลือ แต่ตอนนั้นตนไม่สามารถจะเข้าไปช่วยได้ ซึ่งทุกวันนี้ภาพดังกล่าวยังติดตาตนไม่หาย จึงอยากบอกกับนายสมเกียรติและครอบครัวไว้ว่า "จะช่วยเรื่องคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องห่วง ถึงแม้ผู้ต้องหาจะเป็นลูกของนายตำรวจตนก็ไม่กลัว"