สิ้นลมแล้ว สาวเซลฟี่รถไฟขาขาด! เพื่อนโต้เมา แค่เบียร์คนละขวด บอกครั้งนี้เป็นบทเรียน (คลิป)

9 ก.พ. 61
กรณีเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา (8 ก.พ.) เกิดเหตุรถไฟขบวนที่ 311 (กรุงเทพ-รังสิต) ชนคนบริเวณสถานีรถไฟสามเสน ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ น.ส.วลัยลักษณ์ สุกามา อายุ 28 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาขาด และนายอำนาจ ณ วรรณติ๊บ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะ
เจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือ น.ส.วลัยลักษณ์ สุกามา และ นายอำนาจ ณ วรรณติ๊บ
ล่าสุด ทีมข่าวเดินทางไปที่หน่วยบริการตำรวจรถไฟสถานีสามเสน (สถานีตำรวจรถไฟนพวงศ์) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยบริการฯ ได้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ขณะเกิดเหตุให้ผู้สื่อข่าวดู พบว่าช่วงที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 04.47 น. รถไฟขบวนหนึ่งกำลังจะออกจากสถานีสามเสน และเป็นจังหวะเดียวกับที่ รถไฟขบวนที่ 311 บรรทุกตู้เปล่าแล่นมา กำลังจะเข้าสถานี ขณะนั้น น.ส.วลัยลักษณ์ และ นายอำนาจ ซึ่งกำลังใช้มือถือถ่ายภาพเซลฟี่ ก่อนที่จะพลาดถูกรถไฟขบวนที่ 311 ชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นเหตุการณ์ไม่ชัด
โดยภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นไม่ชัด เพราะจุดเกิดเหตุอยู่ไกลจากระยะของกล้อง ประกอบกับแสงไฟจากหัวรถจักรขบวน 311 ส่องเข้ามาที่กล้อง จึงเห็นเป็นเพียงจุดสว่างสีขาวเท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟประจำหน่วยบริการฯ นำผู้สื่อข่าวไปดูบริเวณจุดเกิดเหตุ ซึ่งห่างจากตัวสถานีประมาณ 500-600 เมตร พบว่าบริเวณรางรถไฟ ยังมีคราบเลือดติดอยู่
คราบเลือดที่ติดอยู่ในจุดเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า บริเวณด้านหลังชานชาลาซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ เป็นพื้นที่นอกเหนืออำนาจรับผิดชอบของตำรวจรถไฟ เคยมีคนมานั่งดื่มสุราบ้าง หากส่งเสียงดังรบกวนเจ้าหน้าที่ก็จะเข้าไปตักเตือน แต่บริเวณชานชาลาเป็นพื้นที่หวงห้าม หากพบว่ามีการนำสุราเข้ามาดื่ม ก็จะเข้าไปทำการจับกุม ปกติจุดนี้ช่วงกลางวันจะมีประชาชนสัญจรผ่านไป-มา อยู่ตลอด ซึ่งถือว่าไม่ได้มีความผิด เว้นแต่จะเข้ามาดื่มสุรา
นายชาตรี ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว
นายชาตรี (นามสมมติ) พนักงานรักษาความปลอดภัยบริษัทเอกชน ซึ่งอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟสามเสน และเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุค่อนข้างมืดและเงียบ ตนสังเกตเห็นว่ามีคนเดินอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน เป็นผู้ชาย และผู้หญิง ท่าทางโซเซคล้ายคนเมาสุรา ขึ้นไปบนชานชาลา ในช่วงแรกตนเห็นว่า ทั้งสองคนพยายามถ่ายภาพเซลฟี่ ขณะที่มีรถไฟขบวนหนึ่งจอดอยู่ที่สถานี แต่เพียงชั่วครู่ ขณะถ่ายภาพเซลฟี่เป็นครั้งที่ 2 รถไฟขบวน 311 กำลังแล่นเข้าสถานี และชนทั้งสองที่กำลังเซลฟี่อยู่ นายชาตรี เปิดเผยอีกว่า วินาทีเกิดเหตุยอมรับว่าตกใจมาก ซึ่งตนยังสงสัยว่า ทำไมถึงมีคนมาถ่ายรูปบริเวณนี้บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังมีอีกหลายสถานี ที่วิวสวยกว่า แต่ทำไมจึงไม่ไปถ่ายกัน
รถไฟกำลังแล่นเข้าเทียบชานชาลา ที่สถานีรถไฟสามเสน
ด้าน นายภาณุพงศ์ (สงวนนามสกุล) เพื่อนร่วมงานของ น.ส.วลัยลักษณ์ และ นายอำนาจ ที่อยู่ในเหตุการณ์ เปิดเผยว่า น.ส.วลัยลักษณ์ ได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว โดยครอบครัวของ น.ส.วลัยลักษณ์ ได้เดินทางจาก จ.เลย มาถึงกรุงเทพฯ ท่ามกลางความรู้สึกที่โศกเศร้า ส่วนศพ น.ส.วลัยลักษณ์ ยังคงอยู่ที่ รพ.รามาธิบดี ขณะนี้ตนกำลังประสานหาที่พักให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติผู้ตาย กำลังตัดสินใจว่า จะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ต่างจังหวัดหรือไม่ ส่วนอาการบาดเจ็บของ นายอำนาจ ยังต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีอาการกระดูกต้นแขน และศีรษะร้าว โดยแพทย์ดูอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ นายอำนาจ มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด มีเพียงแม่ และป้า ซึ่งอายุมากแล้ว เฝ้าดูแลอยู่ ตนจึงต้องเป็นคนคอยประสานเรื่องต่างๆ ให้กับทั้ง 2 ครอบครัว
เพื่อนของ น.ส.วลัยลักษณ์ สุกามา และนายอำนาจ ณ วรรณติ๊บ ยืนกอดกันร่ำไห้ด้วยความตกใจ
นายภาณุพงศ์ เล่าว่า หลังเลิกงานเวลาประมาณ 20.00 น. (สถานที่ทำงานอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ) ตนและ นายอำนาจ พร้อมด้วย น.ส.วลัยลักษณ์ และเพื่อนอีกคน ซื้อเบียร์คนละ 1 ขวด นั่งดื่มคุยกันบริเวณลานหลังชานชาลา นอกเขตสถานี ปกติจะมานั่งดื่มกันประมาณเดือนละ 1 ครั้ง และยืนยันว่าขณะเกิดเหตุไม่มีใครเมา ขณะเดียวกัน นายภาณุพงศ์ เปิดเผยอีกว่า นายอำนาจ และ น.ส.วลัยลักษณ์ มีนิสัยชอบถ่ายรูป ที่สำคัญ นายอำนาจ เพิ่งซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ และเคยมาถ่ายรูปกับรถไฟที่ สถานีสามเสนหลายครั้ง ทั้งคู่จึงลุกจากวงที่กำลังนั่งดื่ม ไปถ่ายรูปบนชานชาลา ตนได้ยินว่าทั้ง 2 คน จะถ่ายกับขบวนรถไฟ ที่จอดอยู่ในชานชาลา นายภาณุพงศ์ ยอมรับว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ตนเห็นว่า น.ส.วลัยลักษณ์ ถือกล้องจะถ่ายรูปให้นายอำนาจ โดย น.ส.วลัยลักษณ์ หันหลังให้รถไฟขบวน 311 ที่กำลังแล่นเข้ามาจอดที่สถานี เมื่อนายอำนาจ เห็นรถไฟแล่นเข้ามาก็พยายามจะดึง น.ส.วลัยลักษณ์ หลบแต่ก็ไม่ทันการณ์ รถไฟได้ชนทั้งคู่ทันที ขณะนั้น ตนตกใจจนขาดสติไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ ยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความเมา แต่เกิดจากความประมาท และไม่ใช่การถ่ายภาพเซลฟี่ ซึ่งถือว่าเป็นบทเรียนให้ตนด้วยเช่นกัน  

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ