“แนท อนิพรณ์” เผยรู้เรื่องแม่ถูกทวงหนี้หลักล้านพร้อมสื่อ แจงไม่ขอยุ่งเกี่ยวในเรื่องคดีความ

11 ก.ย. 63

สำหรับเรื่องราวที่เป็นประเด็นร้องแรงเมื่อ 2-3 วันก่อน กับกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกับนักแสดงสาว แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ ที่พ่วงดีกรีตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 เนื่องมาจากว่ามีผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกัน และรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นางสาวภิญญลักษณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ อายุ 49 ปี แม่ของนางงามคนดังกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"แม่แนท อนิพรณ์" เปิดใจปมเหยื่อแฉหลอกลงทุนสูญเงินล้าน ผิดเองหมุนเงินไม่ทัน

s__67297287

โดยกลุ่มผู้เสียหายเผยว่าถูกแม่ของคุณแนท ชักชวนให้ลงทุนธุรกิจโมเดลลิ่งและรับงานถ่ายโฆษณาให้กับผลิตภัณฑ์ชื่อดัง โดยอ้างว่าสามารถหางานจากผู้ว่าจ้างได้ แต่ขาดเงินที่จะต้องนำไปใช้จ่ายเป็นค่าจ้างล่วงหน้าให้กับดารานักแสดงเพื่อเป็นการจองตัว ซึ่งเมื่อได้รับเงินค่าจ้างแล้วจะนำมาคืนให้ พร้อมกับกำไร แต่สุดท้ายก็ขาดการติดต่อ โดยมูลค่าความเสียหายมากถึง 3 ล้านกว่าบาท

ล่าสุดวันนี้ (11 กันยายน 2563) คุณแนท ลูกสาวก็ได้ออกโรงมาชี้แจงเรื่องนี้กับสื่อมวลชน โดยยืนยันว่า ตนรับรู้เรื่องดังกล่าวพร้อมกับทุกๆ คน เนื่องจากตนและแม่ไม่ค่อยได้คุยกัน จึงทำให้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อีกทั้งตนก็อาศัยอยู่กับคุณน้า ,คุณตา และคุณยาย ตนไม่ได้เจอตัวแม่มาเป็นปีๆแล้ว

1599819569291

ถามว่าคุณแม่มีปัญหาด้านการเงินมานานหรือยัง ตนก็ไม่รู้ เพราะตนเป็นคนที่แมนๆ คือให้เกียรติและให้อิสระกับทุกคน ยกตัวอย่าง ถ้าตนให้เงินคุณตาคุณยาย ตนก็จะไม่ถามท่านเลยว่าท่านเอาเงินไปทำอะไร ตนรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบเอง ในส่วนที่แม่ให้สัมภาษณ์ว่าเอาของๆตนไปขาย ตนก็ไม่ได้คิดมาก คิดซะว่าเป็นแค่ของนอกกาย

สำหรับงานที่แม่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็คือการรับงานให้ตน โดยตนมีผู้จัดการ 3 คน มีแม่เป็นผู้จัดการกลาง ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ ตนจะหักให้แม่ 30 เปอร์เซ็นต์จากทุกงานที่แม่หาได้ และ 30 เปอร์เซ็นต์จากงานละครด้วย แต่ส่วนธุรกิจโมเดลลิ่งที่แม่ชักชวนคนมาลงทุน ตนไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า

โดยตั้งแต่เกิดเรื่องก็ยังไม่มีการคุยกัน แม่พยายามหลบตน ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าพร้อมแม่ก็คงมาคุย ซึ่งตนก็พร้อมคุย แต่ในส่วนหนี้สินหลักล้านของแม่ ตนบอกตรงๆเลยว่า ตอนนี้ตนเป็นเสาหลักของบ้าน ต้องดูแลทั้งคุณตาคุณยาย รวมถึงน้องอีกคนหนึ่งด้วย

ถามว่าเครียดไหมว่าจะกระทบกับชื่อเสียงของตัวเองที่สะสมมานาน ตนมองว่ามันแยกส่วนกัน ตนเป็นแบบไหน ตนก็ยังเป็นแบบนั้นเสมอมา และอย่างที่บอกตนต้องให้เกียรติเขา เขาจะทำอะไรตนก็ไม่สามารถไปบังคับชีวิตเขาได้ ซึ่งเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษตน เพราะว่ามันเป็นสิทธิของเขาว่าเขาจะทำอะไร ตนไม่สามารถห้ามได้อยู่แล้ว เหมือนกับคนที่มีลูก เราเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาได้ แต่เราไม่สามารถเลี้ยงความคิดความอ่านเขาได้ กรณีนี้ก็คล้ายๆกัน แต่ถามว่าจะทำให้แตกหักเลยไหม คงไม่ เพราะมันแยกส่วนกัน

สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ทราบจากพี่สาวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายไปแล้ว และในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นขั้นตอนของการไกล่เกลี่ย การนัดกันไปที่สถานีตำรวจและคุยรายละเอียดกันระหว่างคุณแม่กับเจ้าหนี้ ซึ่งตนไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปจัดการ เพราะเป็นเรื่องของคุณแม่ และทุกอย่างก็อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย โดยทางเจ้าหนี้เองก็ไม่ได้ข่มขู่หรือคุกคามกับตนเลย

เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ เราพอจะทราบรายละเอียดไหม ?
"จริงๆ หนูก็รับรู้พร้อมกับทุกๆ คนนะคะ อันนี้คือเรื่องจริง หนูรับรู้ข้อมูลที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนหรือใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับเจ้าหนี้พร้อมกับทุกๆ คนเลยค่ะ"

แสดงว่าเราไม่เคยทราบว่ามีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น ?
"ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ก็มารับทราบพร้อมกับทุกคน"

ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสพูดคุยหรือติดต่อกับคุณแม่บ้างไหม ?
"จริงๆ หนูกับแม่เรางอนกันบ่อยอยู่แล้วค่ะ งอนตามประสาเด็กขี้น้อยใจ และหนูก็จะแบบ...เมื่อไหร่แม่จะทักมานะ คือเป็นการงอนกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยความที่หนูไม่คิดเหมือนกันว่าการที่เราไม่ได้คุยกันเยอะๆ มันจะทำให้เราไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้เราจะคุยกันบ้าง แต่ก็แค่ประปรายเท่านั้น ไม่ได้ลงดีเทลลึกๆ เลย"

เรากับคุณแม่ไม่ได้คุยกันเป็นปีอย่างที่ท่านบอกจริงหรือเปล่า ?
"ถ้าเจอกันแบบตัวต่อตัวก็คือเป็นปีค่ะ เพราะหนูจะมีบ้านที่อยู่กับคุณตาคุณยาย และบวกกับช่วงหลังมานี้หนูทำงานค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ถ่ายละครเรื่องรักสิบล้อ ตอนนั้นหนูเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยด้วย หนูจะอยู่กับคุณน้าเป็นหลัก เพราะคุณน้าจะคอยดูแลรับส่ง"

ที่คุณแม่บอกว่าเอาของที่เราให้ไปขาย อันนี้เราทราบไหม ?
"ก็...จริงๆ มันก็เป็นของนอกกายเนอะ เหมือนกับที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์นั่นแหละค่ะ"

ทคุณแม่มีปัญหาด้านการเงินมานานแล้วหรือเปล่า ?
"เอ่อ...ถ้าข้อมูลในข้อเท็จจริงอันนี้หนูไม่ทราบ เหมือนหนูเป็นคนที่แฟร์ๆ แมนๆ ด้วยมั้งคะ ค่อนข้างให้เกียรติและให้อิสระกับทุกคน ยกตัวอย่าง ถ้าหนูให้เงินคุณตาคุณยาย หนูก็จะไม่ถามท่านเลยว่าท่านเอาเงินไปทำอะไร หนูจะไม่ไปลงรายละเอียดตรงนั้น เพราะหนูรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบเอง"

เราเริ่มระแคะระคายเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
"ที่หนูรู้ก็เพราะมีคนติดต่อมาทางพี่สาวหนูค่ะ ตอนนั้นหนูก็งงเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ พี่สาวหนูเขาก็เงียบๆ ไป หนูเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นหนูถึงได้รับทราบค่ะ"

เราไม่ทราบถึงธุรกิจการทำงานของคุณแม่เลยเหรอ ?
"ถ้าในส่วนของการทำงานของคุณแม่ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้คุณแม่ทำงานกับหนูนะคะ ก็คือหนูจะมีผู้จัดการ 3 คน มีพี่เอ มีคุณแม่ และก็ช่อง ซึ่งทั้ง 3 คนจะบริหารงานกันโดยมีคุณแม่เป็นผู้จัดการกลาง พี่เอดูแลแฟชั่นโชว์ ส่วนช่องก็จะดูเรื่องของละครทุกอย่าง ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ หนูจะหักให้แม่ 30 เปอร์เซ็นต์จากทุกงานที่แม่หาได้ และ 30 เปอร์เซ็นต์จากงานละครด้วย"

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ?
"ใช่ค่ะ มันก็อย่างนั้นเสมอมาค่ะ"

ตั้งแต่เกิดเรื่องเราได้คุยกับคุณแม่หรือยังว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ?
"ยังไม่ได้โทรเคลียร์กันขนาดนั้นค่ะ เพราะตอนนี้จากที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์เหมือนท่านก็พยายามหลบเราไปหลบเรามา แต่หนูเชื่อว่าถ้าหากแม่พร้อม ยังไงแม่ก็อยากคุยกับหนูอยู่แล้ว ส่วนตัวหนูเองหนูก็อยากคุยกับแม่อยู่แล้วค่ะ"

เราเคยโดนเจ้าหนี้คุกคามบ้างไหม ?
"มันตลกอยู่อย่างหนึ่งนะคะ ก็คือทุกคนมักจะเข้าหาพี่สาวหนู แต่ไม่มีใครเข้าหาหนูโดยตรงเลย หนูยังสงสัยอยู่เลยค่ะว่าเป็นเพราะลุคหนูดูดุหรือเปล่า ทั้งๆ ที่หนูก็เฟรนด์ลี่นะ (หัวเราะ)"

1599820083893

รู้สึกยังไงบ้างที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะชื่อเสียงเราก็สะสมมานาน ?
"หนูมองว่ามันแยกส่วนกันนะคะ หนูเป็นแบบไหน หนูก็ยังเป็นแบบนั้นเสมอมา และอย่างที่บอกเราต้องให้เกียรติเขาค่ะ เขาจะทำอะไรเราไม่สามารถไปบังคับชีวิตเขาได้"

ยังไม่ได้มีการพูดเลยกับคุณแม่เลย ?
"ใช่ค่ะ ยังไม่ได้คุยกันโดยตรงเลย"

ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ เพราะตัวเลขมันก็ค่อนข้างสูงหลายล้านบาท ?
"เอ่อ...จริงๆ ตรงนี้ที่หนูคุยผ่านพี่สาว เหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายไปแล้ว และในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นขั้นตอนของการไกล่เกลี่ย การนัดกันไปที่สถานีตำรวจและคุยรายละเอียดกันระหว่างคุณแม่กับเจ้าหนี้ ซึ่งหนูยังไม่ได้เข้าไปแทรกแทรง"

เราไม่ได้จะเข้าไปช่วยจัดการใช่ไหม ?
"หนูไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปจัดการอยู่แล้วค่ะ เพราะเท่าที่ทราบเหมือนเขาเองก็กำลังนัดกับตำรวจ และทุกอย่างก็อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย"

ถึงจุดจริงๆแล้วแม่เขาไม่มีเงินจะจ่ายแล้ว เราพร้อมจะซัพพอร์ทช่วยเหลือไหม?
“คือตอนนี้หนูต้องยอมรับว่า หนูดูแลคุณตา คุณยายและน้องมาตลอด หนูเหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวค่ะ ซึ่งหนูก็ยังอยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน เพราะว่าตอนนี้คุณตา คุณยายก็แก่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าหมอ ค่ารักษาพยาบาลใดๆ หนูเป็นคนที่รับผิดชอบค่ะ ในส่วนตรงนั้นหนูต้องขอให้หนูกลับไปคุยกับทางครอบครัวหนูอีกทีหนึ่งค่ะ แต่ยังไงแล้วหน้าที่หลักของหนูคือต้องดูแลคุณตาคุณยาย แล้วก็มีน้องอีกค่ะ”

ที่เราบอกว่างอนไม่ได้คุยกับคุณแม่เลย คือปัญหาเรื่องเงิน เรื่องที่เขาเอาของที่เราให้ไปขายหรือเปล่า?
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ งอนประมาณว่าแม่มารับช้าอะไรแบบนี้ค่ะ หนูถ่ายละครแล้วมันเลิกดึกแล้วแม่มารับช้าก็เหมือนงอนๆ บางทีแม่มารับช้า บางทีแม่แกเขามีปัญหาในเรื่องของผ่าตัดตา แล้วเขาจะตาฝ้าๆ แล้วต้องทำกายภาพ บางทีเขาก็ลุกไม่ไหวในการที่จะมารับส่งเรา เราก็งอน ทำไมไม่มาหา ไม่มารับไม่มาส่ง แต่ว่าน้าเขาก็เป็นคนมาแสตนบายตลอดค่ะ แต่เราก็จะงอนๆ”

เรื่องพาระหนี้สินเราไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลย จนมาเป็นข่าว?
“ใช่ค่ะ หนูก็รู้พร้อมทุกคน”

แม่ได้มาขอโทษเราไหมหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้?
“คือถามว่าขอโทษไหม จริงๆแม่ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะว่าเหมือนที่หนูบอกมันเป็นสิทธิของเขาว่าเขาจะทำอะไร หนูไม่สามารถจะห้ามได้อยู่แล้ว เหมือนกับคนที่มีลูก เราเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาได้ แต่เราไม่สามารถเลี้ยงความคิดความอ่านเขาได้ ถ้าเป็นในกรณีนี้ก็อาจจะคล้ายๆกัน ทุกคนก็มีสิทธิเสรีภาพทางความคิด ซึ่งหนูไม่สามารถไปจำกัดความคิดของใครได้ค่ะ”

ที่สัมภาษณ์เหมือนคุณแม่เขาจะซีเรียสว่าเจ้าหนี้จะมาต่อว่าเรา?
“หนูก็รู้สึกดีใจนะ แต่จริงๆเจ้าหนี้ก็ไม่ได้มีใครได้มาคุกคามหรือมาต่อว่าอะไรหนูนะ เขาก็น่ารักนะคะ ไม่งั้นเขาก็คงเหมือนเขียนด่าหนูไปแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่มีนะคะ”

กลัวไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะกระทบกับงาน กับภาพลักษณ์ของเรา?
“คือเหมือนที่หนูบอกว่าต้องแยกส่วนกัน อันนั้นคือสิ่งที่แม่ทำ แต่ว่าในส่วนตัวหนูถามว่ากังวลไหมหรอ หนูก็ไม่ได่กังวลมากมายขนาดนั้นค่ะ เพราะเรารู้ว่าเราเป็นยังไง หนูเป็นยังไง หนูก็ยังเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิม”

ตัดขาดการทำธุรกิจร่วมกันกับคุณแมาเลยไหม?
“โอโห คำช่างยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวก่อนนะคะ ตัดขาดการทำธุรกิจหรอคะ คือจริงๆหนูน่าจะเรียกว่าน่าจะมีในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการบริหารมากกว่า คือหลักๆหนูมีผู้จัดการที่ช่อง มีพี่เออยู่แล้ว ก็มาคุยบริหารจัดการตรงนี้มากกว่าค่ะ”

1599820107143

แม่ไม่เคยมายืมเงินเพื่อเอาไปเคลียร์หนี้?
“ในส่วนที่หนูมีให้เขาหนูก็มีให้เขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล คุณแม่ผ่าตัดตา2 ข้าง หนูเป็นคนโอนไวใจถึง หนูก็โอนให้แม่อยู่แล้ว ค่าทำกายภาพ ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เราก็มีการดูแลมาตลอดอยู่แล้วค่ะ จนถึงวันนี้ก็ยังดูแลอยู่ค่ะ”

โมเดลลิ่งของแม่ที่บอกว่าชวนคนมาลงทุน อันนั้นมีอยู่จริงใช่ไหม?
“อันนี้หนูไม่ทราบจริงๆค่ะ หนูไม่ทราบ”

ในส่วนที่เราต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้แม่ อันนี้ไม่ใช่ใช่ไหม?
“อ๋อ ไม่ใบช่ค่ะ มันเหมือนกับว่าสมมติว่าแม่เขาช่วยหางานให้เรา เราก็ให้แม่เขา 30 เปอร์เซ็นต์ค่ะ มันก็คนละส่วนกันค่ะ”

แนทเองมีเป็นห่วงแม่ไหม กลัวเจาเครียดไหม?
“ในฐานะลูกก็เป็นห่วงอยู่แล้วค่ะ ก็เป็นห่วง ถามว่ากลัวเขาจะคิดมากไหม หนูรู้สึกว่าถ้าเขามาถึงตรงนี้ได้ เขาก็สตรองนะ เอาแบบตรงๆนะ เพราะเราก็รู้พร้อมกันหมดนะ ไม่ได้รู้ก่อนหน้านี้ ถ้าสมมติว่าเจ้าหนี้เขาไม่ทวงถาม ไม่โทรหาพี่สาว เราก็ไม่ทราบ ก็เป็นห่วงอยู่แล้วค่ะ เป็นห่วงในความรู้สึกของคุณตา คุณยายด้วย หนูก็จะบอกเสมอว่าหนูจะดูแลตากับยายให้ดีที่สุดค่ะ คือทักคนก็ทราบพร้อมๆกันนะคะ แต่ท่านก็อายุเยอะแล้ว ท่านก็ใช้คำว่าก็เข้าใจและต้องยอมรับแค่นั้นแหละค่ะ”

เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความแตกหักให้เรากับแม่?
“จริงๆไม่ได้สร้างความแตกหักหรอกค่ะ มันแยกส่วนกันค่ะ”

1599820091693

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส