ร่างพลทหาร "ยุทธกินันท์" กลายเป็นหิน แม่เชื่อลูกมีบุญสั่งห้ามเผา อยู่ช่วยวัดตามแรงศรัทธา

จากกรณี พลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม อายุ 22 ปี ทหารกองประจำการ สังกัดกองร้อย มณฑลทหารบก ที่ 45 (มทบ.45) สุราษฎร์ธานี ได้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจำ มทบ.45 โดยญาติได้ร้องเรียนต่อ พล.ต.วิชัย ทัศนมณเฑียร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ที่ 45 เนื่องจากเชื่อมั่นว่าถูกทำร้ายร่างกาย จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ล่าสุด ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ร่างของ พลทหารยุทธกินันท์ ซึ่งบรรจุอยู่ในโลง ร่างไม่เน่าเปื่อยกลายเป็นหินแข็งสีทอง สภาพชุดแต่งกายทหารยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

นางเรณู หมดราคี มารดาผู้ตาย กล่าวว่า หลังจากบำเพ็ญกุศลศพเสร็จ ก็ได้ถอดปลั๊กตู้แช่ไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และไม่ได้ปิดฝา ใส่โลงไว้เฉยๆ ไม่คิดว่าสภาพศพจะเป็นเช่นนี้ ตนแค่อยากเปิดดูเพราะสงสารลูก คิดว่าลูกคงมีบุญ

นางเรณู กล่าวอีกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากจะเก็บศพไว้ รู้สึกภูมิใจที่ลูกเสียชีวิตแล้วยังเป็นแรงจูงใจให้คนเข้าวัด ทำบุญมากขึ้น เนื่องจากตอนมีชีวิตอยู่ เวลานั่งรถผ่านกับแม่ก็มักจะพูดว่า วัดบ้านเราไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งโบสถ์ คิดว่าสิ่งเหล่านี้คงเกิดจากแรงศรัทธาของลูก อีกทั้งในช่วงบำเพ็ญกุศลศพ ลูกได้มาเข้าฝันไม่ให้เผาร่าง

ด้าน พระเอกพันธ์ อังสุธโร อดีตทหารจากมณฑลทหารบกที่ 45 สุราษฎร์ธานี เพื่อนรุ่นพี่ ซึ่งได้บวชเป็นพระที่วัดยางงาม อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 กล่าวว่า พลทหารยุทธกินันท์ มาเข้าฝันว่า บุหรี่หมด ตนจึงเดินเข้าไปดูศพ พร้อมกับญาติโยมที่มาแก้บน และให้ช่างเจาะช่องคอนกรีตเพื่อดูศพ พบว่า ร่างของ พลทหารยุทธกินันท์ กลายเป็นหินไปทั้งตัว จึงได้ปรึกษากับญาติของผู้ตายทำโลงแก้วเก็บศพไว้ โดยก่อนหน้านี้ ช่างที่มาก่อสร้างเคยพบเห็น ทหารถือปืน เดินวนไปวนมาบริเวณฐานโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ อีกทั้ง เด็กนักเรียนที่มาเข้าค่ายอบรม ก็มักจะเห็นทหารเดินไปเดินมาไปในวัดอยู่บ่อยครั้ง

ด้าน ผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า หลังจากบำเพ็ญกุศลศพพลทหารแล้ว มีการเก็บศพไว้ที่วัด ก็มีปรากฏการณ์แปลกๆเกิดขึ้นหลายครั้ง อีกทั้ง มีคนนิยมเข้าวัดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน รวมถึงเงินที่ได้จากการทำบุญก็เพิ่มขึ้นจนสามารถนำมาสร้างและปรับปรุงวัดได้ ทำให้วัดเจริญขึ้นกว่าเมื่อก่อน และหวังว่า จากนี้ไปคงจะมีประชาชนเดินทางเข้ามาทำบุญสมทบทุน เพื่อสร้างโบสถ์สร้างวัดมากยิ่งขึ้น สำหรับคดีนี้ ศาลได้ออกหมายจับจำนวน 9 หมาย และหมายเรียก 1 หมาย และต่อมาได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีก 1 คนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งต่อมาอัยการศาลทหาร มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 11 คน โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี