เมื่อวันที่ 11 ส.ค.63 ครอบครัวของน้องชมพู่ ได้จัดการพื้นที่หน้าบ้านเพื่อเตรียมจัดงานทำบุญ 100 วัน ให้น้องชมพู่ที่จะจัดในวันที่ 19 ส.ค.63 ซึ่งพื้นที่หน้าบ้านเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 5x8 เมตร จึงช่วยกันเทคอนกรีตผสมเสร็จ ราคา 6,800 บาท
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
โดยมีผู้ที่มาช่วย ได้แก่ ตาชาญ น้าเสริม พ่อของน้องชมพู่ และทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ช่วยกันเกลี่ยคอนกรีตให้เรียบ เพื่อรองรับพระ 9 รูปที่จะนิมนต์มาสวดในวันครบรอบวันเสียชีวิตของน้องชมพู่
ทีมข่าวพูดคุยกับ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า กำหนดการทำบุญ 100 วันน้องชมพู่นั้นเป็นช่วงเช้า เริ่ม 07.00 - 08.00 น. ถวายสังฆทานพระ 9 รูป และถวายอาหารพระเช้า เพราะพระต้องฉันเช้า หลังจากนั้นทำกับข้าวเลี้ยงกินกันเองเล็ก ๆ ภายในครอบครัว ไม่ได้จัดงานใหญ่ เรียกชาวบ้านใกล้ ๆ มากินข้าวกัน โดยจะไม่มีการไปจุดที่น้องชมพู่เสียชีวิต
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า วันแม่ปีนี้ไม่มีน้องชมพู่ ตนก็เหงาและคิดถึงลูก เมื่อปีที่แล้วคือการกราบครั้งแรกและครั้งเดียวของน้องชมพู่ วันนี้ไม่มีเขารู้สึกเศร้าใจและคิดถึง
ทีมข่าวพูดคุยกับนายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ตนคงไม่ไปร่วมทำบุญ 100 วันที่บ้านของน้องชมพู่ เพราะถ้าตนไปแล้วครอบครัวเขาไม่สบายใจ ตนก็ไม่อยากที่จะไปในงาน แต่ตนจะไปทำบุญให้น้องชมพู่เอง และตนกลัวว่าถ้าไปบ้านเขาก็จะไปกระทบจิตใจครอบครัวน้องชมพู่
นางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับทำบุญร้อยวันตนคิดว่าตนสามารถไปได้ และคิดว่าจะไปร่วมด้วย แต่ลุงพลนั้นไม่แน่ว่าจะไปหรือไม่ แต่ตนนั้นจะไปอยู่แล้ว เพราะคนในงานก็พี่น้องทั้งนั้น คงจะไม่เป็นอะไรที่จะไปร่วมงาน
แม่ของน้องชมพู่ ยังบอกอีกว่า ในใจจริง ๆ แล้วตนไม่คิดว่าเป็นการเสียทั้งป้าแต๋นและลุงพลไป เพราะตนไม่ได้ตัดเขาทั้ง 2 คนทิ้ง ไม่เคยคิดว่าพวกเขาไม่ใช่พี่ เพราะเรายังเป็นพี่น้องกันอยู่ ความรักก็ยังรักกันอยู่ แต่ความห่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีอะไรก็ยังช่วยเหลือกันได้ แต่อยากจะให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลาที่จะเยียวยาใจ
ขณะที่นายสมทรง กฤตวิทยากุล ชาวบ้านจากจังหวัดนครพนม ได้เดินทางมาเยี่ยมลุงพล และได้มอบพระรูปพระธาตุพนมมอบให้ลุงพล 3 องค์
หลังจากนั้นก็ได้เดินทางมาที่บ้านน้องชมพู่ และมอบพระให้พ่อแม่น้องชมพู่ 2 องค์ มอบกับได้มอบบทสวดมนต์ให้กับครอบครัวน้องชมพู่ และบอกให้แม่น้องชมพู่ไปกราบแม่ในวันแม่แห่งชาติ เพื่อความศิริมงคล เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบรำลึก 45 ปี ของพระธาตุพนมพังถล่ม นายสมทรงจึงถือโอกาสนี้มาเพื่อมอบพระให้
ทนายรัชพล ศิริสาคร ได้เดินทางไปให้กำลังใจยังบ้านของน้องชมพู่ โดยได้มอบพระและนั่งพูดคุยกับพ่อแม่ของน้องชมพู่ที่บริเวณแคร่หน้าบ้าน โดยทนายรัชพล ได้มอบล็อกเกตหลวงพ่อบุญลือ เขมโก วัดจำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ให้กับครอบครัว 2 องค์ และบอกกับทางครอบครัวว่า ตอนนี้ในด้านคดีก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน จึงอยากให้คืนดีกับลุงพล เพราะสูญเสียลูกไปแล้ว ไม่อยากให้เสียญาติไปอีก
ทางด้านแม่ของน้องชมพู่ ก็ยังเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และตนก็ต้องปล่อยไปตามใจคิด ต้องให้เวลากับหัวใจบ้าง ซึ่งตนก็ไม่ได้ชี้เฉพาะลุงพล เพราะทุกคนในหมู่บ้านเป็นผู้ต้องสงสัยได้ทั้งหมด รวมถึงพ่อกับแม่ด้วย
ทนายรัชพล กล่าวต่อว่า ตนเพียงอยากมาดูสถานที่เกิดเหตุ และในวันที่ 12 ส.ค.63 เวลา 08.30 น. ตนก็จะเดินทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟไปยังจุดพบศพของน้องชมพู่ ในส่วนของลุงพลจะมีความผิดหรือไม่ก็ต้องดูตามข้อเท็จจริง ถ้าทำผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าไม่มีพยานหลักฐาน ตนมองว่าก็ไม่สามารถเอาผิดลุงพลได้
แม่ของน้องชมพู่ กล่าวต่อว่า ตนเพียงคนเดียวคงไม่สามารถชี้ว่าใครเป็นคนผิด แต่ตนคิดว่าทุกคนต้องพิสูจน์ตัวเอง ทนายรัชพล จึงกล่าวว่า ตนติดตามข่าวมานาน เห็นพ่อแม่สูญเสียลูกแล้ว ไม่อยากให้เสียญาติไปอีกคน
ด้านทนายรัชพล ให้ข้อมูลทางกฎหมายว่า คดีนี้ไม่มีพยานหลักฐานที่ไปจับคนร้ายได้ ไม่มีคนเห็น หลาย ๆ อย่างยังเป็นข้อสงสัย ตนก็ไม่ได้บอกหรือยืนยันแทนว่าลุงพลไม่ใช่คนร้าย แต่การที่จะจับคนเข้าคุกจำเป็นต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน ต่อให้มี DNA ก็ไม่ได้ระบุว่าลุงพลเป็นคนร้าย ในทางคดีอาญาถ้าไม่มีหลักฐานที่มัดตัวก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครเป็นคนทำ ถ้าไม่มีหลักฐานที่จะจับใครได้ ในทางคดีอาญาก็จะมีข้อกำหนดของตำรวจ ถ้าหากคดีถึง 3 เดือน หรือ 90 วัน ก็อาจจะมีการพักคดีไปก่อนจนกว่าจะเจอพยานหลักฐานเพิ่มเติม
แต่ทั้งหมดก็ต้องดูผลการสอบสวนว่า มีพยานหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งต้องดูท่าทีว่าตำรวจจะทำอย่างไร เพราะตนก็อยากให้จับคนร้ายให้ได้ คดีนี้ทุกคนก็จต่างสงสัย และต้องดูว่าน้องชมพู่ตายเพราะอะไร ตายเองหรือมีใครทำ ยกตัวอย่างคดีอื่น ๆ อย่างเช่นคดีแทงกัน ก็ต้องดูว่ามีดมีเลือด ที่เกิดเหตุเป็นบ้านใคร ก็อาจจะสันนิษฐานได้ว่าใครเป็นคนทำ แต่อย่างคดีของน้องชมพู่นั้น ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าที่บ้านลุงพล ยังมีคนเดินทางมาให้กำลังใจเป็นระยะ ๆ รวมทั้ง นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เดินทางมาที่บ้านลุงพลเพื่อให้กำลังใจ พูดคุยเรื่องคดีความ โดยระบุว่า ตนเดินทางมาธุระที่สกลนคร ก็เห็นว่าบ้านลุงพลอยู่ไม่ไกล จึงเดินทางมาให้กำลังใจ ส่วนตัวมองว่าการจะเป็นทนายในคดี การไปดูที่เกิดเหตุเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะตนจะได้เห็นถึงสถานที่ว่าเด็กเดินไปเองได้หรือไม่
ส่วนเรื่องคดีความ ตนคิดว่าชมพู่เป็นเด็กที่สามารถจำใบหน้าคนได้แล้ว หากคนร้ายเอาตัวน้องไป และนำไปปล่อย ตนคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะหากปล่อยไว้ แล้วน้องชมพู่รอดชีวิตกลับมา น้องชมพู่อาจชี้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนเอาไปปล่อย ตนจึงคิดว่ากรณีนี้เป็นไปได้ยาก ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ ส่วนตัวก็พร้อมจะมาเป็นทนายความให้ แต่ต้องดูที่ลุงพล เพราะลุงพลน่าจะมีทีมทนายติดต่อเข้ามาช่วยเหลืออยู่แล้ว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ลุงพล
ส่วนตัวไม่ได้เข้าข้าง แต่ต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย คนที่มำผิดจริงก็ต้องรับผิด หากไม่ได้ทำผิดก็ควรได้รับความช่วยเหลือ และเท่าที่ตนดูจากข่าว พยานหลักฐานที่มีไม่น่าจะมาถึงตัวลุงพล ตนมาคุยวันนี้ก็มาถามสารทุกข์ทั่วไป อีกใจตนก็เข้าใจแม่ชมพู่ เพราะสูญเสียลูก และกลับต้องมาสูญเสียญาติอีก ซึ่งแม่ชมพู่อาจไม่เข้าใจในกระบวนการของคดี ที่เวลาจะไปโทษใครว่าผิด เราต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ใช่การคิดเอาเอง เพราะหากพิสูจน์แล้วว่าคนที่แม่ชมพู่กล่าวหาไม่ผิด จะกลายเป็นการใส่ร้ายคนที่ถูกกล่าวหา ซึ่งตนก็อยากเตือนสติแม่ชมพู่เช่นกัน