จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความเปิดเผยว่า เธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน แต่ฝ่ายชายซึ่งเป็นแฟนหนุ่มและกำลังจะเข้าพิธีหมั้น กลับนอกใจไปคุยกับหญิงคนอื่น และอ้างว่าสาเหตุที่ต้องเลิกคบกับฝ่ายหญิง เพราะพ่อแม่ของฝ่ายชายไม่ชอบ
ล่าสุดวันที่ 21 เม.ย.63 ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านพักแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.บ้านค่าย อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
น.ส.เฌอพัชญ์ แก้วกัณหา หรือ ส้ม อายุ 21 ปี เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับฝ่ายชาย เพราะฝ่ายชายเดินทางมาฝึกงานที่ จ.ระยอง และตั้งแต่เดือนพ.ค.62 ก็เริ่มพูดคุยกัน และเดือนมิ.ย.62 ตัดสินใจคบกัน โดยฝ่ายชายย้ายมาอยู่ที่บ้านของตนตั้งแต่เดือนส.ค.62 จนถึงเดือนต.ค.63
ในระหว่างที่ฝ่ายชายเข้ามาอยู่ด้วย ตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของฝ่ายชายเลย เพราะฝ่ายชายเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูด เวลาทะเลาะกัน จะพูดเพียงว่า "ครับ ๆ ขอโทษ" และฝ่ายชายเป็นคนดีมาก ตามใจตนตลอด กระทั่งมาทราบว่าตนตั้งครรภ์ พฤติกรรมของฝ่ายชายก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
โดยวันที่ 12 ต.ค.62 ตนได้ซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ พร้อมกับฝ่ายชาย และทราบผลว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน หลังจากที่ฝ่ายชายทราบว่าตนตั้งครรภ์ เช้าของวันถัดมา ฝ่ายชายได้เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านของตน อ้างว่าโรงเรียนกำลังเปิดเทอม จะกลับไปเรียนหนังสือที่ จ.ระนอง ซึ่งตนก็เริ่มรู้สึกเอะใจ แต่พยายามคิดในแง่ดี เพราะที่ผ่านมาฝ่ายชายดีกับตนมาตลอด
ระหว่างนั้นตนยังคบกันอยู่ โดยคุยกันผ่านข้อความทางเฟซบุ๊ก แต่ฝ่ายชายไม่ได้กลับมาหาอีกเลย เวลาตนทักไปหาก็ไม่ค่อยตอบ พอตนโทรศัพท์ไปหา และฝ่ายชายรู้ว่าเป็นตน ฝ่ายชายจะตัดสายทิ้งทันที จากนั้นฝ่ายชายก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มลบเพื่อนออกจากในเฟซบุ๊กกับไลน์
หลังจากที่ครอบครัวของฝ่ายชายทราบเรื่อง แม่ของตนได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับป้าของฝ่ายชาย แต่ครอบครัวของฝ่ายชายพยายามบ่ายเบี่ยง และกล่าวหาว่าตนท้องกับคนอื่น และขอให้ตนตรวจดีเอ็นเอ อีกทั้งยังกล่าวว่า หากตนอยากให้ฝ่ายชายกลับไปหา ให้ตนกับแม่ไปฟ้องร้องเอาเอง โดยป้าของฝ่ายชายยังกล่าวกับหลานว่า “ถ้ามึงเลือกมัน ไม่ต้องมาเผาผีกู“
จากนั้นแม่ของตนได้ตัดสินใจจัดพิธีหมั้น ในวันที่ 10 พ.ย.62 และนัดหมายกับฝ่ายชายว่าให้มาเข้าร่วมพิธี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และไม่ต้องให้ผู้ใหญ่มาก็ได้ แค่ขอจัดพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยตนกับแม่ได้ออกเงินค่าสินสอดคนละ 20,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนค่าอาหาร รูปภาพงาน เสียค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ซึ่งตอนแรกฝ่ายชายก็รับปากว่า จะมาร่วมงาน แต่พอถึงวันงานกับบ่ายเบี่ยง และอ้างว่าที่บ้านไม่ให้มา แต่ตนยังอดทนคบต่อไป และพยายามมองโลกในแง่ดีว่า ยังรักกันอยู่
กระทั่งเดือนมี.ค.63 ขณะนั้นตนตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ตนได้ตัดสินใจเลิกกับฝ่ายชาย เพราะตนทนไม่ไหว ที่ฝ่ายชายไม่เคยกลับมาหา และยังหลอกให้ตนรอตลอด แต่ฝ่ายชายไม่เคยแสดงความรักเลย และทุกครั้งที่ตนพยายามโทรศัพท์หาครอบครัวของฝ่ายชายก็ถูกตัดสายทิ้ง
นอกจากนี้ฝ่ายชายไม่เคยเลี้ยงดูตนกับลูกในท้องเลย และมักจะขอยืมเงินจากตน ครั้งละ 100-200 บาท รวมเป็นเงินเกือบ 10,000 บาท เมื่อเดือนที่แล้วตนจึงตัดสินใจทวงเงินที่ให้ยืมไปคืน เพราะตนจะนำเงินมาซื้อขวดนมให้ลูก แต่ฝ่ายชายให้เงินคืนเพียง 500 บาท
หลังจากที่ตนเลิกกันประมาณ 2 สัปดาห์ มีผู้หญิงรายหนึ่งส่งข้อความมาถามตนว่า เลิกกับฝ่ายชายหรือยัง เพราะอดีตแฟนหนุ่มได้ทักไปจีบผู้หญิงคนอื่น ๆ เป็นเหตุให้ตนรู้สึกโกรธ และโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เพื่อบอกเล่าพฤติกรรมของฝ่ายชาย
หลังจากที่ตนโพสต์ลงเฟซบุ๊กเพียง 1 วัน มีผู้หญิงทักมาหาตนถึง 8 คน ในทำนองว่า ระหว่างที่คบกับตน ฝ่ายชายนอกใจตนตลอด โดยฝ่ายชายทักไปจีบ และพยายามนัดเจอ และขอไปหา ซึ่งผู้หญิงกลุ่มนี้มีทั้งในจ.เชียงใหม่ จ.ระนอง จ.ชลบุรี จ.ลำปาง และกรุงเทพฯ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็นอกใจ
โดยผู้หญิงที่ส่งข้อความ มาเล่าให้ตนฟังมีถึง 8 คน และทุกคนไม่มีใครยอมให้ฝ่ายชายจีบเลย ด้วยเหตุนี้ ตนไม่รู้ว่ามีอีกกี่คน ที่อาจจะคล้อยตามฝ่ายชาย ตอนแรกตนอยากให้กลับมา เพราะตนอยากให้ลูกในท้องมีพ่อ แต่พอรู้ว่าฝ่ายชายไม่เคยซื่อสัตย์กับตนเลย ตนจึงไม่อยากให้ลูกอยู่กับคนแบบนี้
หลังจากนี้ ตนคงไม่ให้อภัยฝ่ายชาย เพราะฝ่ายชายทำเหมือนตนไม่ใช่คน อีกทั้งตนอยากจะถามฝ่ายชายว่า ทนเห็นตนลำบากได้อย่างไร ทั้งที่ตนต้องอุ้มท้องไปทำงานถึง 7 เดือน
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.ไพรวรรณ มักกะสัน อายุ 42 ปี แม่ของผู้โพสต์ ได้เปิดเผยว่า ช่วงที่ฝ่ายชายมาฝึกงาน ฝ่ายชายได้แวะเวียนมาหาลูกสาวตลอด และสักพักก็ขนของมาอยู่ด้วยกัน แต่ตนไม่ได้ว่าอะไร ระหว่างที่เข้ามาอยู่ ตนไม่เคยสอบถามเรื่องที่บ้านของฝ่ายชาย และทักทายกับฝ่ายชายปกติ บอกกับฝ่ายชายเพียงว่า แม่ชอบคนเรียนหนังสือ ซึ่งฝ่ายชายทำดีกับลูกของตน และดูท่าทางจะรักกันดี
กระทั่งฝ่ายชายขนเสื้อผ้ากลับบ้านไปได้ประมาณ 1 วัน ลูกสาวจึงบอกกับตนว่า ตั้งครรภ์กับฝ่ายชาย 1 เดือนแล้ว ตนจึงโทรศัพท์ไปหาฝ่ายชายทันที และขอให้ฝ่ายชายไปบอกกับญาติผู้ใหญ่ หลังจากนั้นไม่นาน ป้าของฝ่ายชายได้โทรศัพท์มาหา แต่ไม่ได้ถามถึงเรื่องที่ลูกสาวของตนท้องเลย ถามแต่ว่าตนทำงานอะไร ลูกสาวทำงานอะไร ครอบครัวเป็นใคร เหมือนอยากรู้ว่า ครอบครัวของตนรวยไหม และรับปากว่าจะรับผิดชอบ พร้อมกับขอเวลา 1 เดือน
จากนั้นก็หายไปประมาณ 1 เดือน และไม่ติดต่อมาหา ตนจึงโทรศัพท์ไปตามถามว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทำให้มีปากเสียงกัน โดยป้าของฝ่ายชายกล่าวหาว่า ลูกสาวของตนปล่อยให้ท้อง เพราะอยากจะจับฝ่ายชาย และขอให้ตนไปตรวจดีเอ็นเอ พอตนขอเงินค่าตรวจกลับบ่ายเบี่ยง ทั้งนี้ตนไม่เคยรู้จักครอบครัวของฝ่ายชายมาก่อน และทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ตนจึงไม่เข้าใจว่า จะจับไปเพื่ออะไร เพราะลูกสาวของตนก็ทำงานหาเงินเลี้ยงตังเองได้แล้ว แต่ฝ่ายชายยังแบมือ ยืมเงินลูกของตนอยู่เลย
เมื่อตนเดินทางไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ตนไปแจ้งกับหน่วยงานอื่น เพราะลูกสาวของตนบรรลุนิติภาวะแล้ว โดยหลังจากนี้ ตนอยากให้ฝ่ายชายออกมารับผิดชอบ โดยการให้เงินค่าเลี้ยงดูบุตร แต่หากฝ่ายชายจะขอมาอยู่ด้วย ตนคงจะรับไม่ได้ เพราะทำกับลูกของตนถึงขนาดนี้
ตอนแรกที่รู้ว่าลูกสาวตั้งครรภ์ ตนยอมรับว่ารู้สึกตกใจ และช็อกไปประมาณ 2 วัน แต่ตนต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อให้กำลังใจลูก ทั้งนี้ตนอยากฝากถึงคนที่เป็นพ่อแม่ว่า หากเจอสถานการณ์เช่นเดียวกับตน ขอให้อยู่เคียงข้างลูก และให้กำลังใจ คอยคิดหาทางออกให้ลูก และอย่าไปซ้ำเติม ด้วยการทำร้ายร่างกาย
