โต้คนละมุม! ทีมพระแฉบ้าง...โดนยักยอกวัตถุมงคล 14 ล้าน

15 มิ.ย. 67

มาตอบให้(หาย)งง ! ทีมพระลัทธิถวายตัว บอกไม่รู้ ปมเซ็กซ์หมู่ สะเดาเคราะห์ เปิดไทม์ไลน์ซี้ปึ้ก แง้มปมโดนแฉฉ่ำเอี่ยวผลประโยชน์ 14 ล้าน 

กรณีหญิงสาวอายุ 38 ปี เข้าร้องเรียนกับเจ้าของเพจสายไหมต้องรอด ระบุว่า โดนหลอกเข้าลัทธิถวายตัว ให้เธอและแฟนหนุ่ม มีเซ็กซ์กับพระ และเซ็กซ์หมู่กับลูกศิษย์ อ้างว่าเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ซึ่งพอกลายเป็นข่าวดัง พระรูปดังกล่าวทำการลาสิกขาที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์

ล่าสุุดวันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ผ่านมา มีตัวแทนอดีตพระรูปนี้ คือ นายเนติ ทนายความ และนายนิว ลูกศิษย์อดีตพระอาจารย์โอ ที่ถูกกล่าวหา ออกมาแถลงข่าวเป็นครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวดัง

โดยทางนายนิว ลูกศิษย์อดีตพระอาจารย์โอ ออกตัวว่า ไม่ได้เป็นตัวแทนโดยตรงของอดีตพระอาจารย์โอ ขอพูดในมุมของตนเองที่ดูแลอยู่ในฐานะลูกในบ้านมาหลายปี พร้อมย้อนไทม์ไลน์ที่ได้รู้จักกับผู้เสียหาย ที่นายนิวใช้ชื่อว่า “เจเจ้” (ผู้เสียหาย) เป็นพี่สาวที่รู้จักสนิทกันมานาน

ปี 2549 เป็นช่วงที่เริ่มทำวัตถุมงคล

ปี 2553 เริ่มทำที่พักสงฆ์-วัตถุมงคลส่งจำหน่ายในร้านที่กทม. ซึ่งในปี 2553 ลูกศิษย์ที่ขายวัตถุมงคลได้คบหา ผู้เสียหายกับ “คุณเอ หรือ เจเจ้” ก่อนเลิกรากันไป ซึ่งเอก็เป็นคนรับช่วงดูแลกิจการขายวัตถุมงคลต่อจากแฟนเก่า

ต่อมาช่วงปี 2553 -2554 นายบี และนายซี เป็นนักศึกษาที่สนใจคลั่งไคล้วัตถุมงคล (เครื่องรางเสริม) ก่อนเข้าพบพระอาจารย์ แต่พระไม่เก็บเงินค่าวัตถุมงคลให้เก็บเงินไว้ใช้ในการศึกษา

ในช่วงที่นายบี คลั่งไคล้ในวัตถุมงคลของพระ ก็มาพบรักและคบหากับนางสาวเอ ทั้งคู่มาช่วยกันค้าขายวัตถุมงคล ก่อนจะเกิดปัญหาในปี 2564 โดยมีนายซีเข้ามาช่วยในกิจการขายวัตถุมงคลด้วยเช่นกัน เพราะนายบีกับนายซีเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยนายนิวอ้างว่า นายบีกับนายซีเป็นน้องที่เขารักมากที่สุด ส่วนนางสาวเอ เป็นพี่สาวที่รักมากที่สุด ตนและเด็กวัดทุกคน เกรงใจ ให้ความเคารพ และความสำคัญเทียบเท่ากับคำพูดพระอาจารย์ เพราะใช้ชีวิตอยู่ในที่พักสงฆ์ด้วยกัน และตัวนายนิวดูแลทั้งหมด ดีกว่าคนในบ้านตัวเองเสียอีก / ไม่ว่านางสาวเอจะอารมณ์ร้อนอย่างไร ไม่เคยโกรธ ตนเงียบ ยิ้มและเข้าใจ เพราะไม่เถียงเจ้ใหญ่

แต่ช่วงปี 2564-2565 เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ที่ตัวนายนิวเองไม่ทราบรายละเอียดว่าทำไม นางสาวเอหายไป

ก่อนนายนิวจะเอ่ยถึงประเด็นที่คาดว่าทำให้นางสาวเอ ออกไปว่าอาจมาจาก “ผลประโยชน์” ที่ได้น้อยลง หรือมากขึ้น หรือไม่ได้ตามที่ต้องการ ทำให้นางสาวเอ ออกจากที่พักสงฆ์ไป ซึ่งตรงนี้นายนิวเอง ไม่ทราบสาเหตุลึกๆ

จนถึงปลายปี 2566 ฝั่งพระและนางสาวเอ ได้มีการฟ้องร้องในเรื่องการค้าขายวัตถุมงคล ซึ่งต้องให้ทนายเป็นคนตอบ   

นายเนติ ทนายความ และนายนิว ลูกศิษย์อดีตพระอาจารย์โอ ที่ถูกกล่าวหา ออกมาแถลงข่าวเป็นครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวดัง

ด้านนายเนติ ทนายความ เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากทางลูกศิษย์ของฝั่งอดีตพระ อยากชี้แจงว่าเหรียญมี 2 ด้าน โดยทนายระบุว่า คดีที่รับทำนั้น เป็นคดีที่เอ ฟ้องที่พักสงฆ์ ละเมิดลิขสิทธิ์วัตถุมงคลจำนวน 10 กว่ารายการ ซึ่งทางลูกศิษย์เลยติดต่อทนายให้มาทำคดีให้ โดยฝั่งลูกศิษย์อดีตพระได้ติดต่อให้นางสาวเอและนายบี ให้มาคุยกัน เพราะเป็นพี่น้องกัน แต่ฝั่งผู้ฟ้องเงียบหายไม่มาติดต่อ ตนในฐานะทนายจึงทำหนังสือบอกกล่าว 1.ให้ทั้งสองเคลียร์เงินที่คงค้าง แล้วคืนทรัพย์สินที่ขายไม่ได้กลับมา 2.ทรัพย์สินของพระและของวัด ที่ทั้งสองรับฝากไว้ให้เอามาคืน แต่ทั้งสองคนเงียบหาย ต่อมาตนเลยใช้สิทธิ์ทางศาลในการเรียกร้อง โดยแยกเป็น 2 อย่าง 1.เรื่องการซื้อขายวัตถุมงคลฟ้อง 9 ล้านที่ศาลแพ่ง 2.ฟ้องคดียักยอก เพราะมีหลักฐานว่า ทรัพย์สินที่พระฝากไว้ แต่ทั้งสองได้เอาไปขายให้บุคคลภายใน ซึ่งฝั่งพระมีเอกสารและช่องทางการเงิน ที่ทั้งสองเก็บไว้ แล้วไม่บอกพระ ซึ่งทางพระได้ฟ้องต่อทางศาลอาญาแขวงพระนครเหนือ ซึ่งจะมีการสืบพยานในอีกไม่กี่วันนี้  
จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ศาลแพ่งนัดเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องคดีซื้อขายวัตถุมงคล สองฝ่ายคุยกันแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ ทางผู้ฟ้องขอใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จึงต้องสู้พิสูจน์ความจริงในศาล

พอวันที่ 11 มิถุนายน ทางนางสาวเอและนายบี ได้ไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอด ว่า โดนทางอดีตพระข่มขืน ใช้ความอ่อนด้อย เลยจำต้องทำตาม ทางทนายตอบว่า “ทางนี้ผมไม่สามารถตอบได้ว่าจริงหรือไม่จริง สุดท้ายคนที่จะตัดสินหรือพิสูจน์ คือกระบวนการทางศาล”

ทางทนายย้ำเรื่องเหรียญมี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง(ผู้เสียหาย) ท่านได้รับฟังไปแล้ว ส่วนวันนี้มาฟังอีกด้านหนึ่ง ส่วนคนที่ชี้ว่าใครผิดถูก คือ ศาล เพราะตอนนี้ทนายรับผิดชอบทำทั้งคดีแพ่งและอาญา ส่วนอีกคดีเป็นคดีลิขสิทธิ์ที่ศาลทรัพย์สิน ที่ฝั่งผู้เสียหายฟ้องทางลูกศิษย์อดีตพระ ส่วนคดีล่าสุด ที่ผู้เสียหายไปแจ้งความกับตำรวจสน.คันนายาวว่า “ถูกข่มขืน” ทนายมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่วันนี้ ถ้ามีการพิสูจน์ฝั่งเหยื่อ และฝั่งที่ถูกมองว่า เป็นคนชั่ว เป็นอลัชชี ตนมองว่า เป็นเรื่องของการรับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เพราะคนที่โดนมองว่า เป็นคนชั่ว คนเลว อลัชชี จริงๆ แล้วอาจจะเป็นเหยื่อก็ได้ ซึ่งกาลเวลาจะบอกเองได้ว่า ใครผิดหรือถูก ให้เป็นผลทางคดี เพราะคดีต่างๆ ที่มีเรื่องกัน ทางฝั่งพระมีหลักฐานทุกอย่าง

มีประเด็นที่ทนายฝั่งอดีตพระพยายามจะตั้งข้อสังเกตุว่า หลังจากที่นางสาวเอและนายบี ฟ้องคดี มาก่อน แล้วฝั่งโน้นไม่ยอมเจรจา จนมาถึงคดีที่ 2 ศาลแพ่ง ในวันที่ 10 มิถุนายน ศาลให้ไกล่เกลี่ย แต่คุยกันแล้วไม่ลงตัว ทางทีมเอ-บีขอสู้คดีเต็มที่ ก่อนที่เช้าวันที่ 11 มิถุนายน จะมีการมาร้องเพจสายไหมฯ ว่าโดนข่มขืน เท่าที่ทนายฝั่งทราบว่าเรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2564 ระยะเวลาผ่านมายาวนาน พอมีเรื่องกันที่ศาล แล้ววันรุ่งขึ้นมาร้องเพจอีก ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่ามีเรื่องของผลประโยชน์ของวัตถุมงคลที่มีมูลค่าเยอะ ส่วนเรื่องการฟ้องร้องคดียักยอก ไม่ได้ฟ้องแก้เก้อต้องการให้ทั้งสองเอาทรัพย์สินมาคืน ส่วนเรื่องคดีข่มขืน เพิ่งรู้ตอนเป็นข่าวผู้เสียหายมาร้องเพจสายไหม  

ต่อมานายนิว ลูกศิษย์อดีตพระ เล่าต่อถึงตอนที่อดีตพระทราบเรื่องที่ผู้เสียหายไปร้องเพจสายไหมฯ ซึ่งตนรู้ข่าวพร้อมกับอดีตพระ ทำให้ตนได้คิดว่า สิ่งที่เราเคยได้เรียนได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ คิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องนำสิ่งที่เราฝึกมา คือ “สติ” มาใช้ พระเลยตอบว่า ดีนะที่ยังมีสติที่รับฟังข่าวว่า คืออะไร แล้วข่าวดีหรือไม่ดี ที่เข้ามาในชีวิตเราทุกวินาที ถ้าเรามีสติ มันคืดสิ่งที่ดี และมีค่ามหาศาล

นายนิวเองก็ได้ถามพระว่าจะทำอย่างไรต่อ ทางพระตอบว่า

“โลกก็คือโลก จะดีหรือจะร้าย ก็คือโลกก็คือธรรมชาติ แต่เรื่องนี้ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเพราะว่าฉันเกิดเป็นพระ แล้วการที่ฉันเป็นพระ พอเกิดเรื่องขึ้น คนที่จะเดือดร้อนคนแรก คือ ศาสนาพุทธ คือคณะสงฆ์ที่ปกครองเรา ฉะนั้นแล้ว ฉันอาจจะเป็นต้นตอให้ศาสนามัวหมอง หรือเสื่อม ....พระบอกให้ติดต่อเจ้าคณะตำบล แล้วบอกต่อว่า ฉันจะสึก เพื่อไม่ให้เป็นภาระของคณะสงฆ์ และไม่ให้มัวหมองต่อพระศาสนา ส่วนเรื่องจะจริงหรือไม่จริงอย่างไร ฉันว่า ความจริงก็คือความจริง สิ่งไม่จริงก็คือไม่จริง ต่อให้ใครจะว่าอะไรอย่างไร เรารู้ตัวเองดีว่า เราทำอะไร จงระลึกนึกอยู่เสมอว่าเจ้าทำอะไรเพื่ออะไร”

หลังจากพูดถึงตอนพระรู้ข่าวแล้ว นายนิวบอกว่า หลายๆ เรื่องราวมีหลายมุมมอง เมื่อผลประโยชน์ที่ต้องการลดลง หรือมากเกินกว่าที่จะให้ได้ ผู้เสียผลประโยชน์ย่อมทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น การกล่าวโทษ ให้ร้าย ใส่ร้ายป้ายสี และปิดบังข้อมูลเชิงลึก เป็นแบบนี้ในทุกเหตุการณ์ทุกอย่าง ซึ่งตนยืนยันว่าของพูดในมุมของตัวเองในฐานะลูกศิษย์ พร้อมทั้งบอกว่า อดีตพระโอ สึกในวันนั้น เพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้มีคนวิจารณ์ศาสนาให้มัวหมอง และให้คณะสงฆ์เดือดร้อน   

นักข่าว ถามประเด็นเรื่องกล่าวอ้างเป็นลัทธิ ลูกศิษย์ตอบว่า ไม่ทราบ แต่คำสอนของอดีตพระไม่ได้สอนต่างไปจากวัดอื่นๆ สอน ท่านสอนด้วยคำพูดง่ายๆ

ส่วนประเด็นต้องเคลียร์ ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์เคยเห็นเรื่องถวายตัวหรือไม่ เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ทราบ ไม่เคยเห็นในลักษณะนี้ พร้อมย้อนนักข่าวว่าเหมือนโดนให้ตอบในมุมแคบ แต่ยืนยันว่าไม่รู้ /ส่วนตัวนายนิวเป็นลูกศิษย์ที่ติดตามอดีตพระมา 19-20 ปี แต่ไม่ตอบว่าตัวนายนิวกับอดีตพระมีความใกล้ชิดในระดับไหน

ขณะเดียวกันนักข่าวถามว่า อดีตจะออกมาชี้แจงเมื่อไหร่ นายนิว ตอบว่า พระอาจารย์เป็นสุภาพบุรุษรับผิดชอบจนวินาทีสุดท้ายเสมอ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนายนิวยืนยันว่า ทุกคนจะได้รู้ความจริงจากอดีตพระเอง

ส่วนเรื่องการป่วยของอดีตพระ จริงเท็จแค่ไหน นายนิวตอบว่า ตนเป็นคนหาเภสัช คือ ยาให้พระ แต่ไม่จำเป็นต้องไปหาแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอดีตพระรักษากับแพทย์ทางเลือกมาเรื่อยๆ ซึ่งลูกศิษย์เก่าๆ จะบอกยาที่พระต้องใช้ ส่วนอาการป่วยของพระ ลูกศิษย์ตอบว่า พระเป็นมะเร็งน้ำเหลือง ซึ่งนักข่าวถามว่าพระเป็นมะเร็งมานแค่ไหน ลูกศิษย์ตอบว่าตั้งแต่ปี 2540 ก็มีอาการป่วยแล้ว

พร้อมทั้งบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะในบ้าน ไม่ควรเอาเรื่องไปประกาศนอกบ้าน เพราะบางเรื่องเป็นคดีความไปแล้ว อยากให้รอดูความจริงหลังกระบวนการทั้งหมดจบดีกว่า เพราะทะเลาะกันไปไม่จบ

นักข่าวถามฝั่งอดีตพระว่า ตอนนี้ สังคมเข้าใจไปแล้วว่า มีเรื่องลัทธิถวายตัวจริงๆ อยากชี้แจงอย่างไร ซึ่งทางทีมทนายจะปรึกษากันก่อน อาจจะมีอะไรลึกๆ มากกว่านี้ เพราะยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมด เพราะยังไม่เจออดีตพระ โดยเมื่อทราบข่าวว่า ทางผู้เสียหายได้ไปแจ้งความที่สน.คันนายาว ซึ่งทางทนายจะพาไปพิสูจน์ความจริง โดยการพาอดีตพระไปมอบตัวและสอบปากคำ ซึ่งทางผู้ถูกกระทำก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องได้ /ส่วนเรื่องบ้านเช่า เป็นสถานที่ที่ลูกศิษย์ที่ศรัทธาเช่าไว้ แต่ละเดือนจะนิมนต์อดีตพระมาพักที่นี่เพื่อให้ญาติโยมได้มาทำบุญ  

ถามเรื่องทางคดีไกล่เกลี่ยได้หรือไม่ ทนายตอบว่า ทางผมพร้อมไกล่เกลี่ย แต่ทางฝั่งผู้เสียหายค่อนข้างแข็ง ไม่ยอมพูดคุย จะให้พระโทรหาโยมคงไม่เหมาะ จริงๆ ฝั่งผู้เสียหายที่เป็นลูกศิษย์ควรเข้ามาคุยกัน แต่ไม่มีการตอบรับ เลยใช้สิทธิ์ทางศาลเรียกให้มาคุย

ทิ้งท้าย นายนิว ลูกศิษย์ อยากจะขอพูดจากใจในฐานะน้องชายคนหนึ่งว่า สิ่งที่พี่ (ผู้เสียหาย) ได้ทำ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ยังรักพี่สาวเหมือนเดิม ไม่เกลียด อยากให้มองว่า น้อง คือ น้อง บ้านคือบ้าน จะทำอะไรคิดให้ดีๆ มีสตินิดนึง ส่วนตัวรักพี่สาว และน้องชาย 2 คนเสมอ ไม่เคยโกรธเกลียดอะไร เพราะเราอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี ลำบากมาด้วยกัน ผมยังรักเสมอเหมือนเดิม

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส