สาวแสบขโมยทองบ้านแฟน 57 บาท เงินโอนให้ญาติตัวเองเกลี้ยง

28 พ.ค. 67

หนุ่มเศร้า แฟนสาวขโมยทองครอบครัวไป 57บาท ไม่กี่วันจับได้ แต่ไม่พบของกลาง เงินโอนออกให้ญาติพี่น้องเกลี้ยง งงตำรวจไม่ตามเส้นเงิน 

วันที่ 28 พ.ค. 67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังซอยชวนชื่น ย่านประชาชื่น กทม. พบกับนายอนุพงศ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี  ผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และครอบครัวทำธุรกิจขนส่ง พอตนมีรายได้ก็จะซื้อทองมาเก็บไว้ ตนซื้อของเก็บไว้น้ำหนัก 57บาท โดยจะเก็บทองไว้ที่บ้านในตู้ลิ้นชักที่บ้านภายในห้องนอน 27บาท และทองอีก 30 บาทเป็นทองคำแท่ง ตนฝากไว้ที่ร้านทองชื่อดังแห่งหนึ่งย่านเยาวราช ที่มีมาตรฐานการป้องกันสูง 

กระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ตนพาแฟนสาวที่คบกันมา 6 ปี เข้ามาอยู่ในบ้าน ด้วยแฟนตนเป็นคนเรียบร้อย ขยันทำงานบ้าน ทางครอบครัวตนจึงรักและไว้ใจ ไม่ได้ระแวงอะไร  ต่อมาวันที่ 2 พ.ค. 67 ตนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงนำทองที่เก็บไว้ในตู้ น้ำหนัก 27 บาทออกไปจำนำ แต่พอถึงโรงจำนำ ทางโรงจำนำแจ้งว่าทองทั้งหมดเป็นของปลอม จึงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เมื่อกลับมาที่บ้าน นำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับคนในครอบครัวว่าสงสัยใครในบ้าน แต่คนในบ้านก็ไม่มีพิรุธใดๆ 

ตนคิดได้ว่าเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 67 แฟนสาวตนเคยให้คนโอนเงินเข้าบัญชีตน 1,200,000 บาท โดยอ้างว่า เป็นเงินของพี่สาวที่แบ่งมรดกกัน ตนจึงหลงเชื่อโอนเงินให้ไป พอตนโอนเงินให้ไปแล้ว ก็มาดูสลิปคนที่โอนเงินเข้า ปรากฏว่าเป็นบัญชีของร้านทอง ตนถามแฟนไปว่าทำไมเป็นชื่อร้านทองโอนเข้ามา ตอบว่าพี่สาวขายรถแล้วนำเงินไปซื้อทองก่อน จึงให้ร้านทองโอนเข้ามา 

พอนึกขึ้นเริ่มสงสัยแฟนสาวทันที ช่วงตอนกลางคืนตนจึงแอบเอาโทรศัพท์ของแฟนสาวมาดู ปรากฏว่าพบข้อความ ในเฟซบุ๊กเป็นข้อความถามเพจร้านขายทองปลอมต่างๆว่า มีทองลายนี้ไหม พร้อมส่งรูปของตนให้ดู ซึ่งติดต่อไปหลายร้านมาก และมีการนัดหมายเข้าไปดูทองกัน ตนจึงถามแฟนอีกครั้งว่า ได้เอาทองตนไปไหม แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่ได้เอาไป พร้อมยอมพิสูจน์ตนเองไปที่โรงพัก ตนกับแม่จึงเดินทางไปแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น ตำรวจให้ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน และถ้ามีคนน่าสงสัยให้มาแจ้งอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าใบฝากทองแท่ง 30 บาท ของโรงรับจำนำ ถูกนำไปขายทองแล้ว 

ต่อมาเช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 3 ตนจึงเดินทางไปที่ร้านทองชื่อดังแห่งหนึ่งย่านเยาวราช ที่ฝากทองคำแท่งไว้ 30 บาท ทางร้านแจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 67 ได้มีผู้หญิงที่เคยมาซื้อทองกับตน มาทำธุรการการขายทอง 30 บาทที่ฝากไว้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ให้กลับไปทำเอกสารมาใหม่ เพราะเอกสารไม่ครบ จากนั้นวันที่ 25 เม.ย. 67 ผู้หญิงคนเดิมได้นำบัตรประชาชนตัวจริงของตน สำเนาใบฝากทอง มีการปลอมลายเซ็นโดยเขียนทับด้วยปากกาสีน้ำเงิน และหนังสือมอบอำนาจ และอ้างว่าตนเกิดอุบัติเหตุ นอนอยู่โรงพยาบาลไม่สามารถมาขายทองด้วยตนเองได้ ทางโรงจำนำจึงจ่ายเช็คเงินสดเข้าบัญชีตนไป พอตนรู้อย่างนี้ตนถึงกับร้องไห้ทันที  

จนแปลกใจว่าตอนมาซื้อของที่นี่ และทำใบฝากท้องไว้ ทางร้านทองระบุมาตรการความปลอดภัยไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีใครสามารถมานำทอง หรือขายทองที่ฝากไว้ได้ นอกจากเจ้าของเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าของตายจะต้องนำใบมรณบัตรมาแสดง ถึงจะได้ทองออกไป” แต่ร้านทองกับให้เงินกับคนอื่นไปง่ายมาก  ชวงกลางคืนตนจึงเข้าไปแจ้งความเพิ่ม และสอบปากคำเอาผิดกับแฟนตนเองทันที 

พอตนเดินทางกลับมาที่บ้านก็ไม่พบว่าแฟนอยู่ที่บ้านแล้ว มีการขนของออกไปจนหมด จึงโทรศัพท์ไปถามได้คำตอบว่าไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ตนจึงบอกไปว่าวันที่ 16 พ.ค.นี้ ให้ไปพบกันที่ สน.ประชาชื่น เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ พอถึงวันนัดหมายแฟนสาวได้เดินทางมาตามนัด และตำรวจได้สอบปากคำ โดยทางผู้ต้องหาได้ปฏิเสธว่าไม่ได้นำทองไป  แต่ทั้งตำรวจได้มีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดชัดเจนแล้ว  จึงควบคุมตัวแฟนสาว ไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา  

สิ่งที่ตนอยากรู้ตอนนี้คือ ผู้ต้องหานำทองไปขายที่ร้านไหน เพราะมีเข็มขัดนาคอายุ 100 กว่าปีที่ได้มาจากบรรพบุรุษ ถูกขโมยไปขายด้วย เข็มขัดเส้นนี้มีมูลค่าทางจิตใจกับครอบครัวตนมาก ตนอยากจะไปซื้อคืน และตนอยากรู้อีกอย่างหนึ่งคือว่า ร้านทองมีส่วนผิดไหม ที่ให้ของคนที่ไม่ใช่เจ้าของไปง่ายดายแบบนี้  และตำรวจจะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาหรือไม่ ว่าได้เงินไปแล้วโอนเงินให้ใครบ้าง คนที่ได้รับโอนเงินมีส่วนผิดไหม 

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยั งสน.ประชาชื่น เพื่อสอบถามเรื่องคดีความ ได้รับคำตอบจากพนักงานสอบสวนว่า ตอนนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าถูกโอนไปให้ใครบ้าง ที่ทำคดีล่าช้าเพราะต้องรอเอกสารจากธนาคารส่งมา หากพบว่าผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินคดีทุกคน  ส่วนเรื่องว่านำทองไปเก็บไว้ไหน ทางผู้ต้องหาไม่ยอมปริปากพูด อ้างว่าจำไม่ได้อย่างเดียว แต่ยอมรับสารภาพว่าได้นำทอง 30 บาทไปขายจริง แต่อ้างว่าแม่ของแฟนเป็นคนสั่งให้เอาไปขาย  แต่ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ คำให้การของผู้ต้องหาแต่อย่างใด  หลังจากนี้จะเรียกผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่ม

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส