รวบแม่ค้าหัวหมอ โกงตาชั่งทุเรียนปิดสก็อตเทปน้ำหนัก

14 พ.ค. 67

ชั่งตวงวัดชุมพร ร่วมกับตำรวจ จับแม่ค้าริมทางโกงตาชั่งขายทุเรียนหมอนทอง คิดน้ำหนักเกินถึง 5 กก.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 พฤษภาคม 67 นายสัญญา เนื้อนุ่ม หัวหน้าสำนักงานสาขาชั่งตวงวัดชุมพร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดชุมพร สำนักงานสาขาชั่งตวงวัดชุมพร ร่วมกับตำรวจภูธรหลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายทุเรียนริมทาง ถนนเอเชีย 41 (ขาขึ้น กทม.) ตรงข้ามโลตัสหลังสวน ต.ขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนผ่าน กรมการค้าภายใน กรณีซื้อทุเรียนหมอนทองจากแผงทุเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหลังสวน  2 ลูก ราคากิโลกรัมละ 100 บาท โดยทางร้านได้ชั่งน้ำหนักทุเรียน 2 ลูกรวมกันได้ 16.4 กก. ซึ่งมีการแสดงน้ำหนักที่ชั่งให้เห็นชัดเจน จึงไม่ใด้ติดใจและชำระเงินให้กับร้านค้า รวมราคา 1,640 บาท ด้วยการโอนเงินผ่านระบบธนาคาร

จากนั้นจึงได้นำทุเรียนไปส่งให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัด กับบริษัทขนส่ง ก่อนพบข้อมูลการส่งพัสดุของบริษัทขนส่ง ปรากฏน้ำหนักของทุเรียนรวมกล่องบรรจุภัณฑ์อยู่ที่ 11.68 กิโลกรัม ซึ่งไม่ตรงกับตาชั่งที่ร้านทุเรียน จึงขอให้ตรวจสอบตาชั่งร้านขายทุเรียนดังกล่าวด้วย

สำหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบในครั้งนี้ ได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปซื้อทุเรียนร้านค้าที่ถูกร้องเรียน พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอไว้ทั้งหมดว่าแม่ค้ามีพฤติกรรมอย่างไร

แม่ค้ารายนี้ คือ น.ส.สุภาพร  อายุ 43 ปี และพบว่าแม่ค้ารายนี้ จะใช้สก็อตเทปสีดำปิดที่เครื่องชั่งดิจิตอล ตรงส่วนที่เป็นการแสดงน้ำหนักและส่วนที่เป็นราคาต่อหน่วย จะโชว์แค่ส่วนที่เป็นราคารวม สมมุติว่าลูกค้านำทุเรียนวางที่ตาชั่ง 1 กก. แม่ค้าก็จะกดราคาไว้ที่ประมาณ 1.3 บาท พอคูณกับ 1 กก. ก็จะเป็นราคาที่ลูกค้าต้องจ่าย ซึ่งถ้าเราไม่สังเกตก็จะคิดว่าตัวเลขที่เห็นบนตาชั่งเป็นน้ำหนักของทุเรียน ก็จะนำไปคูณกับราคาทุเรียนอีก 100 บาท ซึ่งเป็นเทคนิคของแม่ค้าที่ทำให้เราสับสน นอกจากนี้จากการสอบถามแม่ค้าทุเรียน ทราบว่าทุเรียนที่จำหน่ายนั้น มาจากนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ไม่ใช่ทุเรียนชุมพรแต่อย่างใด

โดยนายสัญญา เนื้อนุ่ม ได้เปิดเผยว่า จากกรณีร้องเรียนนั้น เราได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าร้านค้าทุเรียนดังกล่าวมีการทำความผิดเรื่องการใช้ตาชั่งที่ไม่ถูกต้องจริงหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้ค้าทุเรียนมีพฤติกรรมโกงตาชั่งตามที่มีผู้ร้องเรียนไป ซึ่งจะมีโทษตาม พ.ร.บ.ชั่งตวงวัด พ.ศ.2542 มาตรา 70 ซึ่งใช้เครื่องชั่งที่ไม่มีเครื่องหมายการรับรอง มาตรา 79 ใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด และมาตรา 75/1 มีการดัดแปลงแก้ไขเครื่องชั่ง รวมถึงกฎหมายอาญามาตรา 271 ขายของโดยหลอกลวงประชาชน โทษสูงสุดคือ จำคุก 7 ปี ปรับเงิน 280,000 แสนบาท ซึ่งก็ได้นำตัวผู้ต้องหา ส่งมาที่สถานีตำรวจภูธรหลังสวนเพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อไป

 

 

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส