ทลายโกดังทุนจีนปลอมเครื่องสำอางแบรนด์ดัง -เถื่อน มูลค่ากว่า 20 ล้าน  

25 เม.ย. 67

 

ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วม อย. ทลายโกดังทุนจีนปลอมเครื่องสำอางแบรนด์ดัง-เครื่องสำอางเถื่อน มูลค่ากว่า 20 ล้าน 

วันที่ 25 เม.ย. 67 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมแถลงผลการปฏิบัติกรณี ทลายโกดังทุนจีนขายเครื่องสำอางปลอมและเครื่องสำอางเถื่อน โดยลวงขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ตรวจยึดของกลาง 62รายการ จำนวนกว่า 31,922 ชิ้น 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและได้รับประสานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกี่ยวกับสินค้าที่สั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ได้คุณภาพ ต่อมาผู้บังคับบัญชาจึงให้เฝ้าระวังติดตามและทำการตรวจสอบการจำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่ได้คุณภาพผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบร้านค้าออนไลน์พบว่าเป็น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำหน่ายเป็นสินค้าไม่มีเลขจดแจ้ง และไม่แสดงฉลากภาษาไทย และยังพบว่าร้านค้าดังกล่าวมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดอีกหลายรายการ จึงทำการสืบสวนจนทราบ
ถึงสถานที่จัดเก็บสินค้าและกระจายสินค้าดังกล่าว 

ต่อมาวันที่ 22 เม.ย. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกันนำหมายค้นของศาลแขวงสมุทรปราการ เข้าทำการตรวจค้นโกดัง ซึ่งเป็นสถานที่จัดเก็บและกระจายสินค้าที่ผิดกฎหมาย ในพื้นที่ ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยขณะตรวจค้นมี น.ส.กรรณิกา  (สงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็นผู้ดูแลโกดังดังกล่าว ตรวจยึดและอายัดของกลางรวม 60 รายการ จำนวน 31,922 ชิ้น มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท โดยเป็นเครื่องสำอางปลอมจำนวน 2 รายการ และเครื่องสำอางต้องสงสัยว่าปลอม จำนวน 18 รายการ และเป็นเครื่องสำอางไม่มีเลขที่ใบรับจดแจ้งและเครื่องสำอางไม่แสดงฉลากภาษาไทย จำนวน 32 รายการ 

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า โกดังเก็บสินค้าดังกล่าว มีการบริหารจัดการในลักษณะ “เก็บ แพ็ค ส่ง” หรือ Fulfillment โดย น.ส.กรรณิกา พนักงาน แจ้งว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นของนายช่าน หลิง ชิว นายทุนสัญชาติจีน ซึ่งจะเป็นผู้สั่งสินค้าเครื่องสำอางที่เป็นกระแส และกำลังเป็นที่นิยมในสื่อออนไลน์มาจากประเทศจีน จากนั้นจะนำมาเก็บไว้ที่โกดังเก็บสินค้าย่านอำเภอเมืองสมุทรปราการ เพื่อรอแพ็คส่งให้ลูกค้าชาวไทย 

โดยกลุ่มนายทุนชาวจีนดังกล่าวจะเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อใช้โฆษณาสินค้า เป็นจำนวนมาก รวมกว่า 44 ร้านค้า เพื่อกระจายการโฆษณา จากนั้นจะส่งออเดอร์-ที่อยู่การจัดส่งผ่านระบบโปรแกรมบริหารคลังสินค้าแล้วให้พนักงานทำการแพ็คบรรจุ และส่งให้กับลูกค้าชาวไทย ทำมาแล้วประมาณ 1 ปี โดยมียอดการส่งสินค้าสูงถึง 2,000 – 3,000 ชิ้นต่อวัน 

ในส่วนผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยว่าปลอมอื่นๆ อยู่ระหว่างติดต่อให้ บริษัท เจ้าของผลิตภัณฑ์ตรวจสอบและยืนยันเพิ่มเติม และในส่วนตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ตรวจยึด พนักงานสอบสวนจะส่งตรวจพิสูจน์กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากผลการตรวจวิเคราะห์พบวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง จะเป็นความผิดเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง 2558 ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้” ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม

  1. พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ฐาน“มีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมฯ” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  2. พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
  • ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง”ระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากภาษาไทย” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ฉลากแสดงข้อความไม่ครบถ้วน” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • หากเจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตรวจสอบแล้วว่าเป็นเป็นผลิตภัณฑ์ปลอมจะมีความผิด ฐาน “ขายเครื่องสำอางปลอม” ระวางโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • หากผลการตรวจวิเคราะห์พบวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง จะเป็นความผิดเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง 2558 ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  1. พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
  • ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวังโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ ไม่ได้แจ้งรายละเอียด หรือไม่ได้จดแจ้ง แล้วแต่กรณี” ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส