ทนายตั้ม เหน็บ อัจริยะ เป็นทะแนะ บอกแค่สเตทเม้น บัญชีม้าก็ตรวจสอบได้

12 เม.ย. 67

 

ทนายตั้ม เหน็บ อัจริยะ เป็นทะแนะ บอกแค่สเตทเม้น บัญชีม้าก็ตรวจสอบได้ว่าโยงไปถึงใคร ไม่รู้ปมลูกชายเรวัช ทำงานกับ บิ๊กโจ๊ก 

วันที่ 12 เม.ย. 67 จากกรณีที่นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ตั้งข้อสังเกตถึงการได้มาของเส้นเงิน ภรรยาของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มาได้อย่างไร เนื่องจากทางธนาคารไม่เคยให้ข้อมูลในส่วนนี้ 

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ระบุว่า สำหรับคนที่ติดตามดูเรื่องนี้ ความแตกต่างของทนายกับทนายกับทะแนะ การขอสเตทเม้น ไม่จำเป็นต้องไปขอจากภรรยาของ ผบ.ตร. ก็สามารถรู้ได้ว่าเส้นเงินมีการโอนจากนายณัฐพงศ์ บัญชีม้าไปที่ภรรยา ผบ.ตร. 

ซึ่งเราตรวจสอบเส้นทางเงินของณัฐพงศ์คนเดียวก็สามารถรู้ได้คนที่โอนไปให้เป็นใคร อย่างไรก็ตามหากสิ่งที่นายอัจฉริยะนำมาให้กับทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้รับการตรวจสอบ เท่ากับว่าเป็นการปิดตาข้างหนึ่งเพื่อรับฟัง เนื่องจากความจริงต้องตรวจสอบในเชิงลึกว่ามีการรับโอนเงินจริงหรือไม่ 

“คนที่เป็นทะแนะที่ไม่รู้กฎหมายจะมองแค่มิตินี้ ซึ่งความเป็นจริง หาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อยากตอบโต้ผม ควรนำสเตทเม้นของภรรยามา และบอกว่าสิ่งที่ทนายตั้มแถลงข่าวไม่มีความเป็นจริง สเตทเม้นไม่มีการโอนเงินมา แต่ที่มีการแถลงว่าไม่มีใครไปขอดูสเตทเม้นของบุคคลดังกล่าว ซึ่งก็เป็นความจริง แต่มีการขอดูบัญชีของณัฐพงศ์ พร้อมย้ำว่าไม่จำเป็นต้องไปขอดูบัญชี ผบ.ตร. และภรรยา แต่สามารถดูของบัญชีม้าได้” 

“ซึ่งจะเห็นความเชื่อมโยงว่ามีการโอนเงินไปที่ใครบ้าง ส่วนจะเป็นการทำขึ้นมาเองหรือไม่นั้น เรื่องนี้ตนอยากให้เขามาพูดให้เต็มปาก และขอให้นำสเตทเม้นภรรยา ผบ.ตร. มายืนยันว่าไม่เคยได้รับการโยนเงิน พร้อมกับระบุวันที่ ซึ่งจะต้องใช้วิธีนี้หากจะมีการโต้ตอบ ไม่ใช่การกล่าวอ้างว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมายังไม่มีคนมาขอสเตทเม้น ถือเป็นการพูดที่ดูถูกพี่น้องประชาชนเกินไป” 

ส่วนที่มีการระบุด้วยว่าที่มาในส่วนนี้ มาจากตำรวจภาค 9 หรือไม่นั้น นายษิทรา กล่าวว่า ไม่ใช่ ตามที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ไป การบอกกล่าวกับประชาชน การให้การกับพนักงานสอบสวน และให้การกับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ตนพูดมาตลอดว่าได้มาจากสายลับ ที่มีการให้เลขบัญชีมาเราจึงนำเลขบัญชีนั้นไปแตกบัญชีต่อ และให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นคนสนิทของตนนำเข้าโปรแกรมไอทู เพื่อทำการตรวจสอบเช่นเงิน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับตำรวจภาค9 และยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกันแต่อย่างใด 

ส่วนที่มีการแนะนำให้ไปตรวจสอบพยานในเรื่องนี้ด้วยว่ารู้จักกับใครที่ จ.สงขลา หรือไม่นั้น นายษิทรา ระบุว่า เรื่องนี้ตนมีการสอบถามไปหมดแล้วว่ารู้จักใครอย่างไรบ้าง สายลับเป็นเขาเป็นคนอีสาน โดยไม่ได้เป็นลูกน้องหรือเกี่ยวข้องกับทางนี้ ฉะนั้นยืนยันว่าไม่รู้จักกันอย่างแน่นอน 

ส่วนเรื่องของกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ในฝั่ง พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อาจจะมีการเอนเอียงหรือไม่ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าลูกชายทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.นั้น นายษิทรา ระบุว่า ไม่จริง ตนไม่เคยได้ข่าวว่าลูกชายของ พล.ต.ท.เรวัช ทำงานกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และคณะกรรมการประกอบไปด้วยหลายบุคคล ไม่ใช่เพียงตำรวจ แต่ประกอบไปด้วยหลายส่วน ซึ่งเชื่อว่าคนพวกนี้คงไม่เข้าข้างใครให้เสียเกียรติภูมิของตัวเองอย่างแน่นอน 

สำหรับการพาดพิงลูกชาย พล.ต.ท.เรวัช การกล่าวอ้างจะต้องมีหลักฐาน ว่าทำงานร่วมกันอย่างไร และตัวเองไม่ทราบว่าลูกชาย พล.ต.ท.เรวัช อยู่สำนักงานของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ ยืนยันว่ามั่นใจในพยานหลักฐาน ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเล่นงาน ผบ.ตร. และย้ำว่าหากอยากออกมาตอบโต้ตนก็ให้นำสเตทเม้นของภรรยาตั้งแต่ 2019 มายืนยันว่าไม่เคยรับเงินจากนายณัฐพงศ์ ทำแบบนี้จะถือว่าเป็นการตอบโต้แบบลูกผู้ชาย ไม่ใช่การตอบโต้โดยคนที่ไม่มีความรู้กฎหมาย ถือว่าเป็นการดูถูกพี่น้องประชาชนเกินไป

ส่วนที่มีการกล่าวอ้างถึงนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ด้วยนั้น นายษิทรา ระบุว่า ท่านเป็นอัยการระดับสูง เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ พูดถึงสิ่งใดด้วยความเป็นกลาง จริงๆ แล้วการเป็นเด็กไม่น่าจะไปว่าท่านแบบนั้น   

ส่วนที่มีการบอกให้ตรวจสอบ เส้นทางการเงินอื่นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ การซื้อขายทองคำ หรือการร่ำรวยผิดปกตินั้น นายษิทรา ระบุว่า การออกมาพูดโดยไม่มีพยานหลักฐาน เช่นเรื่องการซื้อขายทอง ตนขอท้านายอัจริยะ เลยว่ากล้าหรือไม่ พร้อมกับพูดชื่อ-นามสกุล รวมถึงแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ใช่พูดแล้วไม่รับผิดชอบ พูดแล้วหาย ดังเช่นก่อนหน้าที่บอกว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีของ 2 บิ๊กตำรวจ แต่สุดท้ายก็กลับมายุ่งอีก จนรู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่ พร้อมย้ำว่า เรื่องหากมีหลักฐานเรื่องความร่ำรวยผิดปกติของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ขอให้นำหลักฐานออกมาเปิดเผย หรือหากนายอัจริยะไม่กล้า ตนจะเปิดเผยเอง และหากมีการรับส่วยตนก็ไม่เอาไว้เช่นกัน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส