สว.สมชาย ค้านสุดลิ่ม ดิจิทัล วอลเล็ต ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เจอยื่นป.ป.ช.แน่

25 มี.ค. 67

 

สว.สมชาย ค้านสุดลิ่ม ดิจิทัล วอลเล็ต เตือนนายกฯ อย่าดันทุรัง ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เจอยื่น ป.ป.ช.แน่ จวกปมทักษิณ ความอยุติธรรมปลายน้ำ 

วันที่ 25 มี.ค.67 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 

ช่วงหนึ่ง นายสมชาย แสวงการ สว. อภิปรายว่า นายกฯเศรษฐา เดินทางไปต่างประเทศทำลายสถิติโลกไปเรียบร้อยแล้ว และทำลายสถิติของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตนขอให้นายกฯ ทำหน้าที่เป็นซีอีโอของประเทศ ไม่ใช่เป็นเซลล์แมน 16 ทริป 15 ประเทศ การประชุมบางอย่างสามารถมอบหมายรองนายกฯที่เกี่ยวข้องไปแทนได้ เพราะ 6 เดือนที่ผ่านมาทำให้ประเทศเกิดสุญญากาศ 

ส่วนที่อ้างว่ามาอภิปรายอะไรกันตอนนี้ งบประมาณยังไม่ออกก็เป็นความผิดของท่านเอง ซึ่งเรื่องงบประมาณ ครม.ชุดเก่าทำไว้เสร็จแล้ว ท่านแถลงนโยบาย 11-12 ก.ย.66 ถ้าตนเป็นท่านตนจะเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ เข้าสภาฯเลยและใช้ กมธ. เสียงข้างมาแก้ในสภาฯ ป่านนี้ พ.ร.บ.งบประมาณฯที่มีเม็ดเงินสำคัญที่จะใช้ประมาณ 1 ล้านล้านบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็จะใช้ได้เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมาแล้ว เป็นความผิดของ ครม.เองที่ดึงไว้ แล้วโทษ สว.ว่ามาอภิปรายครั้งนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ใช้งบประมาณ 

อีกทั้งนายกฯ หมกหมุ่นเรื่อง เงินดิจิทัล วอลเล็ตมาก ซึ่งมันได้ไม่คุ้มเสีย ขอให้เลิกเถอะ อย่าดันทุรัง ที่ผ่านมาวุฒิสภาอภิปรายทั่วไปหลายครั้ง ครั้งนี้คือครั้งที่6 ซึ่ง5 ครั้ง 4 รัฐบาล ซึ่งก็รับฟังและนำไปแก้ไข แต่มีรัฐบาลชุดหนึ่งไม่ฟัง คือโครงการรับจำนำข้าว สุดท้ายรัฐมนตรีติดคุก นายกฯหนีออกต่างประเทศ และโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ตก็เช่นกัน ตนเตือนด้วยความหวังดี เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่เกิดประโยชน์ และเสี่ยงผิดกฎหมาย รวมถึงหลายหน่วยงานมีคำคัดค้านตรงกันหมด ทั้งสภาพัฒน์ฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเอกชน  ป.ป.ช. ถ้าท่านมีเงินตนไม่ว่า แต่นี่คือการกู้เงิน 5 แสนล้าน ทั้งที่ประเทศไม่ได้มีวิกฤตขนาดนั้น 

“หากท่านเดินโครงการต่อ ผมมีเอกสารพร้อมยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดี ผมเห็นว่าเป็นความท้าทายของรัฐบาลขณะนี้” 

นายสมชาย อภิปรายว่า ประเทศกำลังเสื่อมเรื่องความยุติธรรมอย่างเคยเกิดขึ้นมาก่อน ประชาชนเจ็บอยู่ในใจ ความยุติธรรมที่สองมาตรฐาน ที่ผ่านมาเราเรียกร้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ แต่เรามาเจอความอยุติธรรมปลายน้ำ 

โดยเฉพาะกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ดูแล้วไม่ใช่ความผิดนายทักษิณ แต่ปัญหาคือระบบการบังคับโทษ นายทักษิณได้ไปอยู่โรงพยาลตำรวจห้องวีวีไอพี อ้างว่าป่วย 4 โรค ขัดกับภาพที่นายทักษิณเดินทางไป จ.เชียงใหม่ เดิน ลุกนั่ง ขึ้นรถกอล์ฟ ขึ้นบันไดได้ตามปกติ ดูแข็งแรงดี ไม่รู้หมอโรงพยาบาลตำรวจรักษาดี หรือนายทักษิณกำลังใจดี 

การอ้างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้เปิดเผยอาการป่วยนั้น มีข้อยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับแก่ สส. สว. และกมธ. ที่เก็บรวบรวมข้อมูลตามอำนาจหน้าที่ กรณีนี้กมธ.จึงมีอำนาจเรียกเอกสารได้ ขณะที่การอ้างว่ามีผู้ป่วยได้รับการไปรักษาตัวนอกเรือนจำจำนวนมากนั้น ข้อมูลที่ กมธ.ได้รับจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.2565 – 25 ธ.ค.2566 มีนักโทษที่เป็นผู้ป่วยไปรักษาตัวภายนอก เกิน 30 วัน 100 คน เกิน 60 วัน 30 คน เกิน 120 วัน 3 คน หนึ่งในนั้นคือ นายทักษิณ ไม่รู้ใครโกหก 

ยิ่งไปดูกฎกระทรวงที่มีการแก้ไข มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสถานที่คุมขังและอายุ จากเดิมระบุต้องได้รับโทษมา 1 ใน 3 และอายุเกิน 70 ปี มีโรคประจำตัว มีการแก้ไขจากคำว่า “และ” เป็น “หรือ” ทำให้คนอายุ 70 ปี สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ เรื่องนี้สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม