นายกฯ รับลำบากใจ แต่ต้องทำ เด้งบิ๊กต่อ – บิ๊กโจ๊ก ไม่รับปาก 60 วันได้กลับ ตร.

21 มี.ค. 67

นายกฯรับลำบากใจ แต่ต้องทำ เด้ง บิ๊กต่อ – บิ๊กโจ๊ก ไม่รับปาก 60 วันได้กลับ ตร. ย้ำความสามัคคีในตำรวจ ไม่อยากให้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

วันที่ 21 มี.ค. 67 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นาย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง​ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ​ (ก.ตร.​) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศในระดับผู้บัญชาการ​ว่า 

วันนี้มีการประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดชัดเจนว่า เรื่องเมื่อวาน (20 มี.ค.) ที่เกิดขึ้นได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ไม่อยากให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านฝักใฝ่กับเรื่องนี้ เรามีภารกิจใหญ่ คือดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ตนบอกนโยบายไปแล้วในหลายด้าน รวมถึงเรื่องความสมัครสมานสามัคคี ไม่ฝักใฝ่กับคนใดคนหนึ่ง เราเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง 

เมื่อถามว่า นโยบาย 10 ข้อที่มอบในห้องประชุม เน้นย้ำเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายเศรษฐา ระบุว่า ตนเน้นย้ำทุกเรื่องเท่ากันหมด เพราะพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่มีปัญหาแตกต่างกันไป ขณะที่ประเด็นความรักความสามัคคีหลังจากมีข้อพิพาทนั้น ตนก็ได้บอกว่า แต่ละคนรักใครหรือชอบใครแตกต่างกัน แต่เรามาอยู่ตรงนี้ เพื่อพี่น้องประชาชน ดังนั้นความรักนั้นให้เก็บไว้ในใจดีกว่า และการที่เราจะไปก้าวก่ายหรือให้ข่าวต่างๆ ไม่อยากให้มีอีกแล้ว เราไม่ได้มีหน้าที่ให้ข่าวเพื่อสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีหน้าที่เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน 

ส่วนการตั้ง 3 คณะกรรมการขึ้นมามีผลผูกพันเกี่ยวกับวินัยหรือบทลงโทษตามมาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทุกอย่างเรายึดตามกระบวนการยุติธรรม และยึดตามกฏหมาย ซึ่งคณะกรรมการนี้เป็นการสืบหาความจริง ส่วนจะ เกี่ยวข้องกัการดพเนินทางวินัยหรือไม่ ต้องรอดูผลว่าเป็นอย่างไร แต่อย่าเพิ่งพูดไปไกล เพราะทั้ง 2 คนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และต้องให้ให้เกียรติทั้ง 2 คน ด้วยซึ่งกรอบระยะเวลาให้เร็วที่สุด หากเร็วกว่า 60 วันก็น่าจะน่าจะดี เพราะเราต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ท่านด้วยเช่นกัน 

เมื่อถามว่า จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำ ไม่เกี่ยวกับการบริหารในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนไม่ทราบ ส่วนเมื่อผลออกมาจะสามารถนำมาใช้ในทางปฎิบัติได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูว่าผลออกมาอย่างไร อย่าเพิ่งมองไปไกลว่าผลจะเป็นอย่างไร และต้องทำอย่างไรต่อ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปชี้นำกระบวนการยุติธรรม หรือให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่มีสบายใจ เพราะวันนี้เราอยากให้สังคมสบายใจว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ให้ประชาชนสบายใจว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยึดมั่นในกฎหมาย 

หลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสะเทือนเรื่องความเชื่อมั่นในฐานะกำกับดูแล จะสะท้อนอย่างไรบ้างให้ประชาชน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนพูด วันนี้หากมีปัญหาตนมีหน้าที่ต้องบริหารจัดการ และวันนี้เรื่องนี้ขอจบได้แล้วเรา ต้องเดินหน้าดูแลปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด เรื่องบ่อน เรื่องโจร เรื่องขโมย ซึ่งแต่ละคนมีหน้าที่อยู่แล้ว เราควรโฟกัสในเรื่องที่ควรทำดีกว่า และขณะนี้ทั้ง 2 ท่านก็ถูกโยกไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ให้ความยุติธรรม เดินหน้าต่อไปได้ อย่ากดดันอย่าชี้นำ ให้เดินตามในเรื่อง เมื่อถึงเวลาก็คงมีการออกมาชี้แจงกันเอง 

ซึ่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ภารกิจหนักอยู่ เนื่องจากมีประชาชนที่เดือดร้อน ดังนั้นเราต้องกลับมาดูว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ยืนอยู่เพื่อใครหากทำหากเพื่อประชาชนก็ต้องทำต่อไป ส่วนดรามาต่างๆ จบไปแล้วให้กระบวนการยุติธรรมใดเดินหน้าต่อไป น่าตะปราศจากการแทรกแซงด้วยยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากเรามัวมาแต่หมกมุ่นกับเรื่องนี้ ประชาชนจะเดือดร้อนทุกคนจะไม่โฟกัสกับการทำงาน เมื่อสักครู่ตนมีการพูดคุยนอกรอบกับรักษาการผู้บัญชาการทางตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในบ่ายนี้จะมีการประชุม ม็อบนโยบายหลักและลงรายละเอียดในแต่ละหน่วยงาน 

เมื่อวานได้มีการพูดคุยกับคณะกรรมการทั้ง 3 หรือไม่ นายกฯ ระบุว่า ได้คุยนิดเดียว เพราะทั้ง 3 คน เป็นผู้อาวุโสในหน้าที่การงาน ซึ่งเคยอยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลากหลายหน่วยงาน ซึ่งในส่วนนี้ตนมั่นใจว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และตนไม่ได้มีธงหรือมีอะไรที่จะมาแทรกแซง ปล่อยให้ท่านทำงานไป และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและทั้ง 2 ท่าน ส่วนปัญหาจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่นั้น ตนหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนจะสร้างภาพลักษณ์หรือความศรัทธากลับมาได้หรือไม่ นายกฯ ระบุว่า การสร้างภาพเป็นคำพูดที่ผิดภาพ ภาพที่ออกไปสะท้อนการกระทำ ภาพที่ออกไปอย่างไรตนเชื่อว่าเวลาจะบอกเอง และทุกคนก็มีหน้าที่ของตนเอง พร้อมย้ำว่าภาพที่ออกไปก็มาจากการกระทำของเราทั้งนั้น 

เมื่อถามว่า ยากหรือไม่ที่มีการตัดสินใจแบบนี้ นายเศรษฐา ระบุว่า ยากครับ ลำบากลำบากใจ ไม่สบายใจ แต่ต้องทำ 

สำหรับการแบ่งงานให้ทั้ง 2 ท่าน ยังไม่ได้ทำเนื่องจากยังมีเวลา แต่เมื่อมีเวลาจะมีการพูดคุยกันต่อไป ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ เข้าใจในมุมของคนที่มองและไม่ได้มองเป็นมุมบวกแต่ไม่เป็นไรให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์และเป็นตัวบ่งบอกว่าการทำแบบนี้ทุกอย่างดีขึ้นหรือไม่ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ 

ส่วนมองอย่างไรถึงการเด้งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถึง 2 ท่านในครั้งเดียวกัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นายกฯ ระบุว่า แต่ละเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ มีตัวแปรที่แตกต่างกันไป  แต่ละคนมีหน้าที่แต่ละผู้นำมีหน้าที่แตกต่างกันไป บริบทต่างๆ มีความแตกต่างกัน แต่ละยุคแต่ละสมัยมีปัญหาปรับเปลี่ยนกันไป ตนมองว่าเราอยู่ที่นี่ควรเอาเรื่องของประชาชนเป็นหลัก และให้กำลังใจกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ ส่วนเรื่องคดีความหากจบไปแล้วก็ให้ท่านกลับมาใหม่ อย่าให้เกิดความแตกแยก หรือรอยร้าวทางด้านจิตใจ วันนี้เรามาทำงานดีกว่า เพราะตนเชื่อว่าทุกคนอยู่ที่นี่อยากให้ประเทศชาติเดินหน้าไปและประชาชนมีความสุข 

เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่า ทั้งสองคนจะกลับมาภายใน 60 วัน นายกฯ ระบุว่า ตนยืนยันไม่ได้ ต้องมีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาพิจารณา เพื่อสืบหาข้อเท็จจริง แต่หากเดินหน้าไปแล้วตามเวลาที่กำหนดหากพิสูจน์ได้ว่าไม่มีปัญหาก็กลับมาใหม่และตนได้ย้ำมาหลายรอบว่าหากไม่มีปัญหาก็กลับมาใหม่เพราะท่านไม่ได้ถูกลงโทษ ส่วนจะยืดไปจนถึงเกษียณอายุราชการหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะอยู่ที่ กรรมการทั้งสามท่านจะได้พิสูจน์ทราบและผลจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไป และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 

ในอดีตเคยมีการย้ายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และตั้งบุคคลภายนอกมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ ก่อนจะมีการยกเลิกคณะกรรมการชุดนั้น และกลับมาใช้ระเบียบของ ตร. ครั้งนี้จะเกิดการซ้ำรอยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ท่านใช้คำถูกแล้วตอนนั้นในอดีต แต่ตอนนี้คือปัจจุบัน และผู้นำก็เป็นคนละคน

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม