"เซียนหรั่ง" เผยชีวิตวัยเด็กเคยโดนบูลลี่เป็นฝรั่งขี้นก เล่าวีรกรรมเฉียดตายในงานบุญบั้งไฟ

15 มี.ค. 67

เซียนหรั่ง เผยชีวิตวัยเด็กเคยโดนเพื่อนบูลลี่เป็นฝรั่งขี้นก และวีรกรรมเฉียดตายในงานบุญบั้งไฟ


เมื่อ เบิ้ล ปทุมราช โคจรมาพบกับนักแสดงและยูทูบเบอร์หนุ่มลูกครึ่งหัวใจอีสาน เซียนหรั่ง หรือ โน่-ภูวเนตร สีชมภู ที่มาเล่าถึงตัวตนในอดีตก่อนเข้าสู่วงการแสดง และจุดเริ่มต้นในการทำเรียลลิตี้ที่สะท้อนการใช้ชีวิตของคนภาคอีสานจนโด่งดัง เคยโดนบูลลี่ว่าเป็นฝรั่งขี้นก เพราะหน้าตาแปลกว่าเพื่อน และเล่าวีรกรรมเฉียดตายที่งานบุญบั้งไฟ ในรายการ "เบิ้ล AM"

เซียนหรั่ง

ชีวิตตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
เซียนหรั่ง : ชีวิตเริ่มรู้สึกว่าใช้ยากขึ้นครับ มันเหมือนการขายวิญญาณวงการบันเทิงเนอะ ถ้าสมมุติว่าเราตัดสินใจที่จะเลือกทางนี้แล้วแน่นอนคือชีวิตส่วนตัวของคุณจะไม่เหลือเลย ก็คือต้องยอมขายวิญญาณเพื่อที่จะรักษาจุดนี้ ก็ต้องยอมเสียพื้นที่ส่วนตัวเรา

ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ทำเพลงมาก่อนคือ นีโน่ ไทบ้าน แต่ก็ไม่ถูกจดจำ ในวันนี้ที่ทุกคนรู้จักคือ เซียนหรั่ง ?
เซียนหรั่ง : เป้าหมายแรกที่ตั้งไว้ก็คือต้องการเป็นสื่อกลางของความคิดถึงก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะเวลาคนเข้ามาดูก็จะมีหลายๆ คอมเมนต์ 50-60% ที่บอกว่าคิดถึงสมัยก่อน วิถีชีวิตเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่เคยทำ ซึ่งมันก็ส่งไปถึงคนที่คิดถึงบ้านจริงๆ ก็ถือว่าโอเคแล้ว

เซียนหรั่ง

เซียนหรั่งเป็นลูกครึ่งอะไร ?
เซียนหรั่ง : พ่อเป็นคนเบลเยี่ยมครับ

ตั้งแต่เด็กคืออยู่กับยาย แล้วตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหน ?
เซียนหรั่ง : ใช่ครับ ไม่ได้คุยกันกับพ่อเลยไม่ได้เจอตั้งแต่เด็ก เพราะตอนที่เล็กๆ ไปอยู่กับพ่อที่สิงคโปร์ประมาณ 3-4 ปี แล้วพ่อก็กลับมาส่งที่ไทย แล้วกระซิบข้างหูว่าอีก 60 คืน (2 เดือน) พ่อจะกลับมารับนะ ตอนนี้จะเข้า 60 ปีแล้วยังไม่มาเลย (หัวเราะ)

คิดถึงพ่อไหม ?
เซียนหรั่ง : เฉยๆ เราก็ผูกพันกันนะ แต่เขาก็คงมีทางเลือกของเขา เราก็คงเอาความรู้สึกเราไปตัดสินว่าเขาผิดหรือถูกไม่ได้ เราก็แค่ยินดีกับทางเลือกของคุณ เรามีชีวิตอยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว ตอนนี้แม่กับยายก็อยู่คนละบ้าน แต่ห่างกันแค่ 5 กิโล ในตอนเด็กสมัยประถมจะโดนล้ออยู่ตลอดเวลาว่า บักฝรั่งๆ , บักฝรั่งขี้นก , บักสีดาเน่า จะถูกบูลลี่ซึ่งสมัยก่อนเราไม่รู้จักคำว่าบูลลี่คืออะไร ก็โดนล้อจนเราไม่ชอบใจ เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว เอาถาดอาหารกลางวันตีเพื่อนจนคิ้วแตก แล้วไปบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แล้วยายเดินมาถือแส่ ด่าเด็กคนนั้นว่ามาทำหลานฉันทำไม (หัวเราะ)

เซียนหรั่ง

ตอนมาเป็น เซียนหรั่ง รวมตัวกับเพื่อนๆ ยังไง ?
เซียนหรั่ง : ตอนนั้นเป็นช่วงต้นๆ ของโควิดเลย หลังบ้านของอาจารย์จ๊อบจะเป็นเพิงไม้ ที่ทำเหมือนบังกะโล แล้วก็รกๆ เราก็ไปรวมตัวกันอยู่ ในช่วงที่แต่ละคนก็ไม่มีตังค์กันเลยสักบาท ไม่เหลือเงินเลย พอเข้าโควิดงานวงการบันเทิงหายหมดเลย เพราะว่าการทำงานในวงการใช้คนเยอะ แล้วช่วงนั้นกฎหมายบอกว่าห้ามรวมตัว คือทั้งปีเราไม่มีอะไรทำเลย ก็เลยรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากใช้ชีวิต เลยขอกลับไปอยู่บ้านใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไป ก็คงมีความสุขกว่ามาสู้หรือดิ้นรนกับอะไรแบบนี้ก็เลยเป็นที่มาของสื่อกลางของความคิดถึง อย่างน้อยได้บรรเทาความคิดถึงให้กับทุกคนที่ไกลบ้าน

ไปถ่ายคลิปต่างๆ แล้วพื้นที่สำหรับถ่ายทำตรงนั้นเป็นของใคร ?
เซียนหรั่ง : ส่วนมากเป็นพื้นที่ของตัวเองแต่ว่าสลับกัน วันนี้อยู่นาคนนี้จังหวัดขอนแก่น อีกคนอยู่กาฬสินธุ์ก็ไปถ่ายที่นั่น

คุณมีที่ดินเท่าไหร่ ?
เซียนหรั่ง : ไม่เยอะครับ 400 ไร่

คุณมีวีรกรรมที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดอะไรบ้าง ?
เซียนหรั่ง : ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนนิสัยไม่ดีนะ ไม่ใช่นักเลง แต่ว่าหน้าตาเรามันพาลหาเรื่อง คือเป็นคนหน้าแปลกคนเดียวในหมู่บ้าน มีอยู่รอบหนึ่งที่รู้สึกผิดจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเจอพวกพี่แก๊งค์คาราวานก็อยากจะขอโทษนะครับพี่ถ้าพี่ดูอยู่ ตอนนั้นเกิดจากมีบุญบั้งไฟที่พนมไพร ไปกับป๋าบอยแกจะขึ้นเวทีก็เลยไปตั้งแต่แห่เลย 9 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่มกว่า แล้วมันขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าบุญบั้งไฟพนมไพร จะเป็นบุญบั้งไฟที่ใหญ่มากๆ แล้วจะมีคอนเสิร์ตล้อมสังกะสี ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีคอนเสิร์ตทีไรตีกันตายทุกที คนเยอะแต่ละคนก็นั่งกะบะพากันมา ขนกันมาเพื่อจะมาตีกันเฉยๆก็มี

แล้วทีนี้หน้าเวทีจะมีลำโพงขวาและซ้าย ด้านขวาเขาจะเต้น ด้านซ้ายจะโล่งๆ เหมือนเตรียมไว้ให้ตีกัน แล้วทีนี้ผมเมาไม่รู้เรื่อง ก็ไปเต้นซึ่งก็อยากไปสนุกกับป๋าบอย ไม่ได้หาเรื่องใคร เราก็เต้นปกติ ป๋าบอยก็รีบบอกให้แฟนแกเอาผมไปหลังเวที เพราะคนที่อยู่ฝั่งนี้เขาจะตีแล้ว พอเขาดึงเราไปหลังเวทีก็ได้ยินพูดว่าเขาจะตี ก็เลยโมโห เพราะเราเมาแล้วไม่มีสติแล้ว เลยพูดว่าใคร ไปเอาปืนมาจะไปยิงมัน ซึ่งยิงเขาไม่ได้หรอกปืนปลอม (หัวเราะ) เอามาถือขู่เฉยๆ ดีที่เขาไม่ยิงสวน เราก็เมามากจนหลับอยู่หลังเวที ซึ่งพี่ๆ คาราวานเขาก็อยู่ข้างหลัง ต้องขอโทษด้วยนะครับพี่ เพราะเราก็ไปโวยวายตะโกนอยู่หลังเวที พูดจาไม่เพราะ

ทุกวันนี้ไปเล่นคอนเสิร์ตเป็นนักร้องด้วย ซึ่งแปลกมากก่อนมาเป็นเซียนหรั่งเคยมีเพลงดังแต่กลับไม่ถูกจดจำในชื่อนักร้อง ?
เซียนหรั่ง : ปัจจุบันนี้แปลกนะ สมัยก่อนมีแต่เอาศิลปินเพื่อไปเล่นดนตรีเพื่อให้คนไปเสพย์ดนตรีจากศิลปิน ทุกวันนี้เปลี่ยนอีกมุมหนึ่งไปเลย มีการจ้างนักแสดงเพื่อไปเอนเตอร์เทน พอระบบนี้มันแพร่ออกมาเรื่อยๆ เราก็เลยกลายได้รับงานตามไปด้วย

เซียนหรั่ง

ปัจจุบันคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง ?
เซียนหรั่ง : ไม่เลย ไม่คิดเลย เพราะว่าความสำเร็จของแต่ละคนมันตั้งไม่เหมือนกัน บรรทัดฐานของความสำเร็จคืออะไรจริงๆ กันแน่ สำหรับเราอาจจะไม่ใช่เงินทองชื่อเสียง ความสำเร็จในชีวิตเราเอาจริงๆนะ แค่อยากเปิดร้านซ่อมรถ ชอบตั้งแต่เด็กแล้ว รักรถ ชอบอยู่กับรถตั้งแต่เด็ก เคยเอารถมือสองมาแต่งขายก็เลยรู้สึกว่าชอบ สบายใจที่จะอยู่กับเครื่องยนต์

ล่าสุดเพิ่งถูกแฟนของแต่งงาน ค่าสินสอดเท่าไหร่ ?
เซียนหรั่ง : ค่าสินสอดไม่มี เราไม่ได้เสีย เขาก็ไม่เอา เราเจอกันจากเพื่อนคนหนึ่งที่พาเข้าวงการบันเทิง เพื่อนชื่อเม่น ซึ่งเป็นคนพาผมกับบักด่งเข้าวงการบันเทิงเลยก็ว่าได้ ซึ่งเม่นให้ผมไปถ่ายหนัง ประจวบเหมาะกับแฟนเป็นผู้ดูแลนักแสดง ก็เลยมาเจอเขา ตอนแรกเขาก็ไม่ชอบเรา ตอนนั้นเหมือนเราดูวางมาด หว่านไปทั่วเพราะไม่มีแฟน เราเป็นทรงที่เขาไม่ชอบเลย แต่ถัดมาหลังจากนั้น 2 วัน วันปิดกล้องกินเหล้าเมา เราก็บอกเดี๋ยวไปส่งนะ ก็เลยเรียบร้อย (หัวเราะ) จากวันนั้นจนวันนี้ก็ 7 ปีแล้ว ก็มีเคยเกมส์บ้าง แต่ยังดีที่เขาให้โอกาสเรา มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนกัน

 

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส