พ่อค้าแม่ค้าโวย โดนแบ็กโฮรื้อแผงไม่ทันตั้งตัว ลูกค้าแตกตื่นยกจานชามหนีตาย นิติแจงติดป้ายบอกแล้วห้ามบุกรุก แต่ไม่ยอมย้าย
จากกรณีเกิดเหตุชายฉกรรจ์ขับรถแบ็กโฮบุกรื้อร้านค้าริมถนนหน้าโรงพยาบาลแพทย์รังสิต จนทำให้พ่อค้า-แม่ค้า รวมถึงลูกค้าที่กำลังนั่งรับประทานอาหารต่างวิ่งหนีตายอลหม่าน เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณ 9 โมงที่ผ่านมา วานนี้ (6 มี.ค.)
ทีมข่าวลงพื้นที่เกิดเหตุ บริเวณริมพหลโยธิน ขาเข้า ช่วงด้านหน้าโรงพยาบาลแพทย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี ยังพบเศษซากปรักหักพัง ที่เกิดจากการบุกรื้อร้านค้า โดยมีทั้งต้นไม้หักโค่น โครงหลังคาร้านค้าถล่ม กำแพงแตกหัก รวมทั้งโต๊ะ-เก้าอี้ พังเสียหาย ขณะที่พบพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางสาวจันทร์พร อายุ 48 ปี และนายสมส่วน อายุ 49 ปี สองผัวเมีย เจ้าของร้านขายบะหมี่ เล่าว่า เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา หลังจากที่ตัวเองเพิ่งเปิดร้านขายของได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีรถแบ็กโฮวิ่งย้อนศรมาบนถนน แล้วก็ได้ไล่รื้อร้านค้าทันที ขณะที่มีชายฉกรรจ์อีกส่วนขับรถกระบะบรรทุกแผงสังกะสีมาเตรียมที่จะกั้นพื้นที่บริเวณนี้
เจ้าของร้าน บอกว่าตอนที่รถแบ็กโฮมาถึงก็จ้วงดึงหลังคาร้านค้าข้างๆ กัน แต่เนื่องจากหลังคาเชื่อมต่อกันจึงทำให้โครงสร้างและหลังคาร้านตัวเองโยกสั่นตามไปด้วย ซึ่งตอนเกิดเหตุมีลูกค้านั่งกินข้าวอยู่หลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างตกใจแล้วพากันยกจานข้าวและชามบะหมี่วิ่งหนี โดยเจ้าของร้านก็วิ่งหนีเช่นกัน แล้วได้พยายามส่งเสียงร้องให้คนขับรถแบ็กโฮหยุดดำเนินการ ซึ่งเจ้าของร้าน ยอมรับว่า ตอนนั้นด้วยความตกใจและโมโหสุดขีด จึงเกือบที่จะหยิบเก้าอี้พลาสติกปาใส่คนขับรถแบ็กโฮเพื่อให้หยุดรื้อ
นางสาวจันทร์พร บอกว่า เปิดร้านขายบะหมี่ตรงนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2540 รวมแล้วก็ประมาณ 27 ปี ที่ผ่านมาไม่เคยถูกขับไล่ จนกระทั่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จึงได้รับแจ้งจากนิติบุคคลของโครงการศูนย์การค้าให้รื้อถอนร้านค้า เพื่อปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคในโครงการ แต่เนื่องจากตัวเองยังหาที่ค้าขายใหม่ไม่ได้ จึงยังไม่ได้ย้ายออกไป จากนั้นทางนิติบุคคล ก็เริ่มมีการปล่อยข่าวจะนำแบ็กโฮเข้ารื้อร้านค้า และมีการแอบนำเอกสารห้ามบุกรุกมาแปะไว้ในช่วงเวลากลางคืนด้วย
ตนขายของตรงนี้มานานมากแล้ว จู่ๆ จะให้ย้ายออกไปแบบกะทันหัน ก็ไม่สามารถหาที่ขายของที่ใหม่ได้ทัน แล้วถ้าหากจะต้องหยุดขายของก็จะทำให้ขาดรายได้อีก อย่างเช่นวันนี้ที่มีรถแบ็กโฮมาบุกรื้อร้านค้า ก็ทำให้ได้รับความเสียหาย เพราะต้องปิดร้านทันที ข้าวของที่ซื้อมาขายก็เหลือทิ้ง ทั้งข้าวเป็นหม้อๆ หมูแดง ไก่ต้ม และอื่นๆ
นางสาวจันทร์พร เผยต่อไปว่าที่ผ่านมาไม่เคยได้รับหมายศาลกรณีถูกฟ้องร้องดำเนินคดีฐานบุกรุก โดยถ้าหากได้รับหมายศาลก็พร้อมที่จะต่อสู้คดีตามกระบวนการทางกฎหมาย และหากศาลมีคำสั่งจะให้รื้อถอนก็พร้อมที่จะทำตาม ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ หลังเกิดเหตุเจ้าของร้าน ก็ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ เพราะมองว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ด้านนางสาวสุธัญญา อายุ 27 ปี ร้านขายกาแฟโบราณและขนมหวาน เล่าว่า ตัวเองมาขายของอยู่ตรงนี้ได้ประมาณ 4 ปี โดยเป็นที่ร้านเดิมของแม่ที่ขายอาหารมานานประมาณ 10-20 ปี ก่อนจะเลิกไป ตัวเองทราบดีว่าที่ตรงนี้เป็นที่ส่วนบุคคล แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครมาดำเนินการใดๆ จนกระทั่งเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ที่ทราบว่ามีการตั้งนิติบุคคลขึ้นมาบริหารจัดการ แล้วขอให้บรรดาพ่อค้า-แม่ค้าย้ายออกไปก่อน เพื่อทำการแก้ไขระบบสาธารณูปโภคและปรับปรุงพื้นที่ก่อนเปิดให้พ่อค้า-แม่ค้ามาเช่าพื้นที่ขายของ
พ่อค้าแม่ค้าก็เสนอขอให้มีการจัดหาพื้นที่ขายของชั่วคราวให้ แต่ทางนิติบุคคลก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ แล้วต่อมาก็เริ่มมีการมาทิ้งเอกสารห้ามบุกรุก รวมทั้งไล่โทรศัพท์แจ้งว่าจะมีรถแบ็กโฮเข้ามา ซึ่งก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ก็มีพ่อค้าแม่ค้าบางรายที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าจะมีการรื้อร้านค้า รวมถึงเมื่อเช้านี้ ที่นิติบุคคลได้เดินมาบอกแม่ค้าบางคนว่าขายเสร็จก็รีบเก็บร้านไปนะ แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุขึ้น
นางสาวสุธัญญา บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้จะดื้อแพ่งในการไม่ย้ายออกจากพื้นที่ และในส่วนของตัวเองที่เคยนำซุ้มขายกาแฟมาตั้งไว้ ก็ได้เคลื่อนย้ายออกไปก่อนหน้านี้แล้ว เหลือเพียงนำรถเข็นมาจอดขาย ซึ่งก็พร้อมที่จะนำออกให้ตลอดเวลา แต่ที่ยังมาขายของอยู่ ก็เพราะยังไม่มีที่ขายใหม่ หากหยุดขายไปก็จะขาดรายได้ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเองมองว่านิติบุคคลทำเกินไป เพราะไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ ทั้งยังบุกมาแบบที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว อีกทั้งชายฉกรรจ์ที่ขับรถแบ็กโฮ ยังดำเนินการโดยที่ไม่สนใจว่ามีคนอยู่ในร้าน มีลูกค้านั่งกินข้าวอยู่ ซึ่งในส่วนของร้านก๋วยเตี๋ยวเรือวันนี้ก็ทราบว่า ระหว่างเกิดเหตุมีเหล็กหลังคาหล่นลงมาจนเกือบจะถูกลูกค้าได้รับบาดเจ็บ
ต่อมาทีมข่าวได้พยายามติดต่อไปยังนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ที่เกิดเหตุ แต่ได้รับแจ้งว่าติดภารกิจ แล้วขอนัดหมายสื่อมวลชนมาชี้แจงในภายหลัง
