ยกฟ้อง “บอนนี่” เจ้าของดารุมะซูชิ ไม่ผิดขายคูปอง -แฟรนไชส์

15 ก.พ. 67

ยกฟ้อง “บอนนี่” เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น ดารุมะซูชิ ลวง ไม่ผิดขายคูปอง -แฟรนไชส์ ชี้เป็นการบริหารที่ผิดพลาด ไม่เข้าเจตนาทุจริตหลอกลวง 

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ก.พ. 67 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีฉ้อโกงประชาชน ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด และนาย เมธา ชลิงสุข หรือบอนนี่ อายุ 41 ปี กรรมการผู้มีอำนาจร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน  ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 พ.ค. 64- 18 มิ.ย. 65 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงประกาศขายอาหารบุฟเฟต์ญี่ปุ่นโปรโมชั่นต่างๆ รวมทั้งจำหน่ายคูปองใบละ199 บาท 250 บาท 299 บาท และ 399 บาท ผ่านแอปพลิเคชั่น Daruma  sushi โดยโอนเงินผ่านบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 แต่ความจริงแล้ว พวกจำเลยมิได้มีเจตนาตั้งแต่ต้นที่จะประกอบกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นดังกล่าวเป็นกลอุบายให้หลอกลวง จนมีผู้เสียหาย 988 ราย หลงเชื่อซื้อคูปอง เป็นความผิด 988 กรรม 

นอกจากนี้ จำเลยยังหลอกลวงประกาศขายแฟรนไชส์ ให้ผู้สนใจร่วมลงทุนราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาทถึง 2.5 ล้านบาทต่อสาขาโดยมีผู้เสียหาย 11รายหลงเชื่อชื้อแฟรนไชส์ จากจำเลยเป็นความผิด 11 กรรม 

คำฟ้องระบุอีกว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 พ.ค.64- 18มิ.ย.65  ยังร่วมกันฟอกเงินโดยรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดจำนวน 150.7ล้านบาทเศษ เข้าบัญชีธนาคารตนเองเพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง ซึ่งการได้มาแล้วโอนเข้าบัญชีธนาคารอื่นหลายครั้งหลายหน 

โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด และร่วมกันคืนเงินหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายแต่ละรายตามความเสียหายรวม 42.3 ล้านบาทเศษด้วย 

วันนี้ทนายจำเลยที่ 1 และเบิกตัวจำเลยที่ 2 จากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา 

ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ โจทก์ร่วม จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 ได้ร่วมกัน เปิดร้านอาหารดารุมะซูชิ จำหน่ายอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์  โดยมีการขายคูปองอาหารตามโปรโมชั่น ตามเพจเฟชบุ๊ก และแอปพลิเคชั่นดารุมะซูชิ รวมทั้งเปิดขายแฟรนไชน์ให้ผู้สนใจร่วมลงทุน โดยที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารแล้วจะแบ่งผลกำไรให้ตามที่ตกลงไว้ 

ขณะเกิดเหตุมีร้านอาหารดารุมะซูชิทั้ง 27 สาขา ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย. 65 ทางร้านได้ประกาศปิดปรับปรุงกิจการชั่วคราว เนื่องจากขาดสภาพคล่อง ทำให้ผู้ที่ซื้อคูปองไม่สามารถมาใช้บริการที่ร้านอาหาร ได้รับความเสียหายจำนานมาก 

ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยทั้ง 2 มีเจตนาทุจริตฉ้อโกงผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้ง 2 ได้เปิดร้านอาหารมาตั้งแต่ พ.ศ. 2559 และมีผู้บริโภคสนใจจำนวนมากทำให้สามารถขยายกิจการได้อีกหลายสาขา และมีการขายคูปองทำโปรโมชั่น ผู้ที่ใช้บริการก็ยังนำคูปองมาใช้บริการได้ตามปกติ จนกระทั่งเกิดการบริหารงานและการคาดการณ์ที่ผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ประกอบกับเกิดเหตุสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาปลาแซลม่อน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักราคาสูงขึ้น จนทำให้จำเลยที่ 2 ขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถชำระค่าปลาแซลม่อน เลยบริหารกิจการต่อไปไม่ได้ 

แม้การตั้งราคาโปรโมชั่น 199 บาท จะต่ำกว่าราคาทุนของราคาปลาแซลมอนที่ขายกิโลกรัมละ 300 บาท แต่เห็นว่าเป็นการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อแข่งขันทางตลาด ดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการจำนวนมาก 

อีกทั้งการขายแฟรนไชน์ให้คนที่ร่วมลงทุน เป็นการตกลงทำสัญญาแบ่งผลกำไรให้ตามสัดส่วน แล้วทางจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้บริหารจัดการ ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่ได้บังคับซื้อขายร้านแฟรนไชน์ เป็นความพอใจระหว่างกัน ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ก็มิได้กีดกันหากผู้ซื้อแฟรนไชน์จะเข้ามาร่วมบริหารงาน และในทุกๆ วันจะมีระบบส่งอีเมล์แจ้งรายละเอียดเรื่องรายรับรายจ่ายแต่ละวันให้ทราบ แล้วทุกร้านของดารุมะซูชิจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้สามารถดูออนไลน์ได้ตลอดเวลา ไม่ได้ปิดบังข้อมูล  ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 2 เจตนาจะหลอกลวงเป็นการบริหารงานผิดพลาด มิได้มีเจตนาจะทุจริต เหตุที่เกิดจึงเป็นการผิดสัญญาเป็นความผิดทางเเพ่ง

ปัญหาประการต่อมาว่า จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันฟอกเงินหรือไม่ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า จำเลยที่ 2 ได้มีการโอนเงินบางส่วนให้กับมารดาบุญธรรมเป็นประจำทุกเดือน รวมทั้งโอนเงินเข้าบัญชีชื่อเพื่อนสนิท แต่เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมมา นอกจากนี้มีการโอนเงินไป บ.แห่งหนึ่งแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ก็เพียงเพื่อไว้ใช้ระหว่างอยู่ต่างประเทศเท่านั้น ด้วยเหตุข้างต้นจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน พยานหลักฐานโจทก์และผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ร่วมนำสืบมานั้น ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดตามฟ้อง จึง พิพากษายกฟ้อง 

ผู้ข่าวรายงาว่า บรรยากาศในห้องพิจารณามีมารดาบุญธรรม และญาติของจำเลย มาร่วมรับฟัง ไม่มีผู้เสียหายเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องนาย เมธา หรือ บอนนี่ จำเลยที่ 2 ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น โผกอดมารดาบุญธรรม และกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ร่วมรับฟังว่า รู้สึกดีใจมาก ตนถูกจองจำมา 1 ปี 8 เดือน ยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส