โรคบูลิเมีย กินแล้วล้วงคอ อาการโรคทางจิตที่อันตราย คนกลัวอ้วนต้องระวัง

14 ธ.ค. 66

โรคบูลิเมีย หรือ โรคล้วงคอ พฤติกรรมผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ มักเกิดกับคนที่กังวลเรื่องรูปร่างและน้ำหนัก อันตรายถึงชีวิต

โรคบูลิเมีย

โรคบูลิเมีย หรือ โรคล้วงคอ พฤติกรรมผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยหลังรับประทานอาหารเข้าไปแล้วผู้ป่วยมักรู้สึกผิดและกลัวอ้วน อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเองทำให้ต้องพยายามกำจัดอาหารที่พึ่งกินเข้าไปออกมาโดยการ "ล้วงคอ" ให้ตัวเองอาเจียน ออกกำลังกายอย่างหนัก ใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ รวมทั้งอาจอดอาหารและจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานด้วย ซึ่งโรค Bulimia เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นเพศหญิง

อาการของบูลิเมีย

  • รับประทานอาหารปริมาณมากในช่วงเวลาสั้น ๆ
  • จำกัดปริมาณอาหาร และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิด
  • ล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารที่รับประทานเข้าไป หรือออกกำลังกายอย่างหักโหมเพื่อป้องกันน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
  • ใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ หรือสวนทวารหลังรับประทานอาหาร
  • ใช้อาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อลดน้ำหนัก
  • กังวลหรือกลัวว่าน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น
  • หมกมุ่นอยู่กับน้ำหนักและรูปร่างของตนเอง
  • มีความคิดแง่ลบต่อภาพลักษณ์ของตนเอง
  • ควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ได้
  • สภาวะอารมณ์เปลี่ยนไปจากปกติ เช่น รู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล เป็นต้น
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ

สาเหตุของบูลิเมีย

สาเหตุของโรค ในทางการแพทย์ยังไม่มีระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า โรคบูลิเมีย เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่โรคนี้อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ร่วมกัน  โดยพบว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางร่างกาย อารมณ์ สังคม หลายประการ เช่น ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความผิดปกติทางจิตเวช ภาวะซึมเศร้า อาการย้ำคิดย้ำทำ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่อาจทำให้มีโอกาสเกิด Bulimia มากขึ้น ได้แก่ การมีประวัติความผิดปกติของการรับประทานอาหารในครอบครัว มีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางอารมณ์ เช่น การหย่าร้างหรือปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว การได้รับอิทธิพลจากสื่อ การมีภาวะเบื่ออาหารหรือเคยลดน้ำหนักมากๆ มาก่อน และการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1

การรักษาบูลิเมีย

ในการรักษาโรค Bulimia นั้น อาจจำเป็นต้องใช้วิธีรักษาร่วมกันมากกว่า 1 วิธี ซึ่งการรักษาด้วยการฟื้นฟูสภาพจิตร่วมกับการใช้ยาต้านเศร้า และการให้ความร่วมมือกับแพทย์ นักจิตบำบัด เพื่อน และครอบครัว อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคนี้

โดยโรค Bulimia สามารถรักษาและบำบัดได้ ดังนี้

จิตบำบัด เป็นวิธีรักษาด้วยการพูดคุยบำบัดทางจิตกับผู้ให้คำปรึกษาพิเศษหรือจิตแพทย์ ซึ่งวิธีจิตบำบัดที่ใช้รักษาโรค Bulimia มีดังนี้

  • การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและเรียนรู้ว่าการล้วงคอหรือความเชื่อเกี่ยวกับการกำจัดอาหารด้วยวิธีต่าง ๆ นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพ และปรับทัศนคติของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาหารและการรับประทานอาหารไปในทางที่เหมาะสม
  • การบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal Therapy) ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาด้านการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยปรับความคิด ทักษะด้านการสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้
  • การบำบัดแบบครอบครัว (Family-Based Therapy) ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรค Bulimia ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น โดยการบำบัดวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วย และเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบต่อครอบครัวจากโรคนี้ได้

การใช้ยารักษา การใช้ยาต้านเศร้าควบคู่กับการพูดคุยบำบัดทางจิตอาจช่วยลดอาการของโรค Bulimia ได้ โดยยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรค Bulimia คือ ยาฟลูอ็อกซีทีน (Fluoxetine) ซึ่งเป็นยาต้านซึมเศร้าในกลุ่ม SSRI (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors)

โภชนศึกษา แพทย์และนักโภชนาการอาจช่วยวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีน้ำหนักตัวเป็นปกติ มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดี และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังได้รับคำแนะนำในการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยอีกด้วย

การรักษาในโรงพยาบาล แม้ว่าผู้ป่วยโรค Bulimia อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเสมอไป แต่กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากและมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที

ภาวะแทรกซ้อนจากบูลิเมีย

การได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน การล้วงคออาเจียน และการใช้ยาระบายเป็นประจำ อาจทำให้เสี่ยงเกิดภาวะขาดสารอาหารและภาวะแทรกซ้อนได้หลายประการ ดังนี้

  • รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ หรือประจำเดือนขาด
  • ผิวหนังและเส้นผมแห้ง
  • เล็บหักง่าย
  • ภาวะขาดน้ำ
  • ต่อมน้ำลายอักเสบ
  • มีแผลในกระเพาะอาหาร
  • กล้ามเนื้อหดเกร็ง
  • ท้องผูก
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • มีปัญหาสุขภาพฟัน เนื่องจากกรดกระเพาะอาหารจากการอาเจียนอาจทำลายผิวเคลือบฟันได้
  • มีปัญหาเกี่ยวกับไต หัวใจ ลำไส้ และกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
  • พยายามฆ่าตัวตาย

การป้องกันบูลิเมีย

การอยู่ในยุคที่สื่อต่าง ๆ เผยแพร่ค่านิยมความผอมและรูปร่างที่ผิดไปจากความเป็นจริงอาจทำให้วัยรุ่นหมกมุ่นอยู่กับมายาคติในการมีรูปร่างที่ดี ดังนั้น นักวิชาการและผู้ปกครองควรกระตุ้นให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อรูปร่างของตนเอง และทำความเข้าใจว่าการมีน้ำหนักที่เหมาะสมนั้นไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างที่ผอมเสมอไป เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้

ข้อมูลจาก : pobpadhealthpromcornwallkrabinakharin

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม