กต. อัปเดต แรงงานไทยดับรวม 24 ราย ล่าสุดแจ้งประสงค์กลับไทย 7,058 ราย

14 ต.ค. 66

กต. อัปเดต แรงงานไทยดับใน อิสราเอลเพิ่ม 3 รวมเป็น 24 ราย ล่าสุดแจ้งประสงค์กลับไทย 7,058 ราย เดินหน้าจัดเครื่องบินรับ ขนกลับให้ได้วันละ 400 คน 

วันที่ 14 ต.ค. 66 นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉิน เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบใน อิสราเอล ว่า สถานการณ์ยังคงมีความรุนแรง เรามีความห่วงกังวลเรื่องเข้าพื้นที่ทางภาคพื้นดินของทางการอิสราเอล เพราะก่อนหน้านั้นได้มีการประกาศให้พลเรือนทางภาคเหนือของ ฉนวนกาซาอพยพภายใน 24 ชม. ซึ่งคนอพยพออกมาก็ยังมีจำนวนน้อยมาก แต่กลุ่มฮามาสบอกว่า นี่คือสงครามจิตวิทยา ขอให้ทุกคนยังอยู่ที่เดิม ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจับตามองอยู่ ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างก็สูญเสียกำลังพล และพลเรือนของตัวเองเป็นจำนวนมาก 

นางกาญจนา กล่าวว่า ล่าสุดกองทัพอิสราเอล เปิดเผยว่าได้ส่งกำลังพลเข้าไปในเขตใกล้กับฉนวนกาซา ใกล้เคียงกับชายแดนอิสราเอล เพื่อพยายามค้นหาตัวประกัน ซึ่งอิสราเอลได้พยายามทางการทูต เพื่อนำตัวปรปะกันออกมา แต่ขณะนี้อยู่ในภาวะสงครามการดำเนินการใดๆ ย่อมเป็นไปได้ยาก และต้องใช้เวลา รวมทั้งมีรายงานว่า อิสราเอลอยู่ระหว่างการเจรจาส่งของต่างๆ ให้กับตัวประกันด้วย แต่ไม่สามรถรับประกันได้ว่า กลุ่มฮามาสจะยอมรับหรือไม่ 

นางกาญจนา กล่าวว่า สำหรับผู้เสียชีวิต พบคนไทยเสียชีวิตเพิ่มเติม 3 ราย จากการรายงานของทางการอิสราเอล ทำให้ขณะนี้มียอดคนไทยเสียชีวิต รวม 24 ราย มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม 2 ราย รวมเป็น 16 ราย ตัวประกัน 16 ราย ส่วนร่างผู้เสียชีวิตนั้นยืนยันว่ายังคงต้องใช้เวลา แต่ทางสถานทูตได้ติดต่อกับทางผู้จัดการของบริษัทที่อิสราเอลมอบหมายเป็นผู้จัดการศพผู้เสียชีวิตชาวต่างประเทศในเหตุการณ์สงครามครั้งนี้ เพื่อขอให้เร่งรัดกระบวนการต่างๆ ในการส่งศพกลับภูมิลำเนา ซึ่งทางผู้จัดการแจ้งว่าตระหนักดีถึงความสำคัญที่ต้องเร่งกระบวนการ แต่มีศพชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก แต่รับปากว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด และทางการอิสราเอลจะรรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายในการส่งร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดกลับประเทศภูมิลำเนาผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ในสถานการณ์ปกติการพิสูจนอัตลักษณ์ใช้เวลา 7 วัน แต่ในภาวะสงครามจะใช้เวลามากขึ้นไปอีก 

นางกาญจนา กล่าวว่า สำหรับภารกิจอพยพคนไทย วันนี้มีการเดินทางกลับของคนไทยที่แจ้งความประสงค์เดินทางกลับจำนวน 100 ราย ในสายการบินฟลายดูไบ มี มาถึงสนามบินอู่ตะเภาพรุ่งนี้เช้า จากนั้นเดินทางเข้า กทม. เพื่อพบปะญาติ ในเวลา  10.00 น. ที่โรงแรม sc park ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วยดูแล 

ส่วนวันพรุ่งนี้ (15 ต.ค. 66) จะมีการอพยพคนไทยด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ ออกจากกรุงเทลอาวีฟ เวลา 13.00 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง วันที่ 16 ต.ค. เวลา 04.40 น. จำนวน137 ราย นอกจากนี้ยังมีความพยายามหาเที่ยวบินพิเศษอีกจำนวนมาก เพื่อให้คนไทยเดินทางกลับประเทศให้ได้อย่างน้อยวันละ 400 ราย รวมถึงหลังจากนั้นจะมีคนไทยประมาณ 250 คน เดินทางกลับโดยสายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์ และรัฐบาลจะจัดเที่ยวบินพิเศษระหว่างกองทัพไทยและการบินไทยบินไปต่อเนื่อง รวมถึงสายการบินอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตามภาพรวมล่าสุดมีคนไทยแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทย จำนวน 7,058 ราย 

เมื่อถามถึงกรณีที่มี แรงงานไทยที่รอดชีวิตกลับมาเล่าเหตุการณ์ว่า กลุ่มฮามาสพูดภาษาไทยล่อลวงคนไทยออกมา เพื่อจับตัวหรือสังหารนั้น คนไทยตกเป็นเป้าหมายหรือไม่ นางกาญจนา กล่าวว่า ยืนยันว่าคนไทยไม่ได้เป็นเป้าหมายพิเศษ เนื่องจากเป็นสถานการณ์สงคราม การจับกุมคนต่างๆ ไปก็เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลหรือคนต่างชาติต่างๆ คนไทยไม่ได้เป็นเป้าหมาย รวมถึงคนต่างชาติไม่น่าจะเป็นเป้าหมายในการทำร้าย 

เมื่อถามว่า กลุ่มฮามาสบอกว่ามีตัวประกันเสียชีวิต จากการโจมตีของ อิสราเอลนั้น มีตัวประกันที่เป็นคนไทยหรือไม่  นางกาญจนา กล่าวว่า ก็ติดตามทางข่าว ยังไม่เห็นมีการเปิดเผยรายชื่อ จึงยังไม่ทราบว่ามีใครบ้าง ไม่อยากให้มีคนตายไม่ว่าจะชาติไหนทั้งนั้น แต่ก็ต้องรอการเปิดเผยรายชื่อต่อไป 

เมื่อถามว่า การดำเนินการของ อิสราเอลจะมีผลกระทบต่อตัวประกันมากขึ้นหรือไม่ นางกาญจนา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการดำเนินการทางภาคพื้นของทางทหารมีผลกระทบต่อทุกคนที่ยังอยู่บริเวณนั้น แต่มีการคาดเดากันว่า ตัวประกันอาจถูกจับกุมและกระจายตัวอยู่ตามอุโมงค์ใต้ดินต่างๆ ซึ่งทุกคนก็มีความกังวล แต่จากการติดตามข่าวทราบว่าทางสหรัฐฯ และองค์การสหประชาชาติได้พยายามขอให้ อิสราเอลชะลอการดำเนินการทางภาคพื้นดินออกไปก่อน เพราะการให้ยพยพคนเป็นล้านภายใน 24 ชม.เป็นไปไม่ได้ และคนที่อพยพออกมาจริงก็น้อยมาก

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส