"ทนายเดชา"บอก”บิ๊กโจ๊ก”บริวารเป็นพิษ ยินดี“บิ๊กต่อ”ผบ.ตร. สายบุญ

28 ก.ย. 66

ทนายเดชา” มอง “บิ๊กโจ๊ก” หมดบทบาทตำรวจยศใหญ่ใน สตช. อาจต้องไปนั่งตบยุง เพราะบิ๊กต่อและทีมจะขึ้นมาทำหน้าที่แทนหมด เชื่อการรับตำแหน่ง ผบ.ตร. โยงประโยชน์การเมือง และมีบริวารเป็นพิษ แซว "บิ๊กต่อ" สวดมนต์ทุกวันเลยได้ตำแหน่ง แฉนักข่าวช่องดังรับเงินจากตำรวจเดือนละ 3 แสน ซัดระวังเป็นเงินผิดกฎหมาย

 “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก @ทนายคลายทุกข์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความในหลาย ๆ ประเด็น เช่น “#คดีพนันออนไลน์และฟอกเงินพยานหลักฐานสำคัญคือเส้นทางเงินถ้าชัดเจนก็จบติดคุกทุกราย ทนายเดชารายงานจากสุวรรณภูมิ”,  “ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตายเพราะลูกน้องและคนใกล้ตัว #แหล่งข่าวเชิงลึกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งผมมาเมื่อสักครู่นี้” “นักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าวเพื่อ เขียนข่าวและรายงานข่าว!!!!ข่าวจะมีความเชื่อถือและเป็นกลางหรือไม่ ทนายเดชาชวนคิดครับ ? ผมเพิ่งกลับจากลอนดอนเพิ่งถึงสุวรรณภูมิข่าวร้อนจังเมืองไทย555”

ล่าสุดเจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีในหลาย ๆ ประเด็น เริ่มจากกรณีที่ “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นประกันตัวลูกน้อง เจ้าตัวบอกว่านี่เป็นการแสดงความรับผิดชอบแบบสุภาพบุรุษในฐานะผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะยืนยันและแสดงความเชื่อมั่นว่าลูกน้องเป็นคนดี เพราะหากไม่ประกันตัวก็เหมือนเป็นการยอมรับว่าเอาโจรมาเป็นลูกน้อง แล้วตัว “บิ๊กโจ๊ก” เองก็จะถูกตั้งคำถามว่าเป็นหัวหน้าโจรหรือเปล่า แต่คำว่า “คนดี” จะเป็น “คนดีย์” หรือเปล่า ต้องมาดูกันอีกที

แต่ข้อมูลเชิงลึกที่ตนได้จากแหล่งข่าวที่เป็นตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชีวิต ซึ่งบอกเล่ากับตนในฐานะแฟนคลับ บอกว่าหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดีกับ “บิ๊กโจ๊ก” กับลูกน้องค่อนข้างแน่นหนา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการออกหมายค้นบ้าน โดยเฉพาะหลักฐานเส้นทางการเงินของลูกน้องที่เชื่อมโยงกับบัญชีม้า เว็บพนันออนไลน์ชัดเจน

ถ้าถามว่าเส้นทางดังกล่าวจะเชื่อมโยงมาถึง “บิ๊กโจ๊ก” ด้วยหรือไม่ ทางทนายบอกว่ายังไม่ชัดเจน แต่มีข้อมูลว่าอาจจะเกี่ยวพันกับบุคคลใกล้ชิดของ “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งก็ต้องตรวจสอบกันต่ออย่างละเอียด แล้วถ้าเส้นทางการเงินทั้งหมดนำไปสู่การสมคบกันฟอกเงินด้วย ก็คงไม่มีใครรอด แม้จะเป็น “บิ๊กโจ๊ก” ตำรวจยศใหญ่แค่ไหนก็ตาม

ส่วนวี่แววการฟ้องกลับของ “บิ๊กโจ๊ก” นั้น ตนมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะดูจากการแต่งตั้งทนายหลายสำนักงาน เชื่อว่าทนายคงไม่มีการทำงานให้ฟรี ๆ ดังนั้นเมื่อเสียเงินแล้ว ก็ต้องหาทางเล่นงานกลับ โดยเฉพาะการฟ้อง ม.157 เกี่ยวกับการร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ด้วย ว่าการออกหมายจับลูกน้องนั้นเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากในหมายจับไม่ได้ระบุยศตำรวจ ใส่เพียงคำนำหน้าชื่อเป็นนายทั้งหมด รวมถึงการขอออกหมายค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งจริง ๆ จะต้องมีมูล เช่นในบ้านหลังนี้มีคนร้ายตามหมายจับ มีพยานหลักฐานสำคัญอยู่ ซึ่งผู้ขอหมายจะต้องขี้แจงข้อเท็จจริงต่อ “บิ๊กโจ๊ก” ตรงนี้ว่าทำไมถึงขอหมาย เพราะถ้าไม่มีก็อาจจะเข้าค่ายต้องการประจานให้เสื่อมเสีย

ซึ่งตนมองว่าขั้นตอนนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะคำพูดของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่บอกว่าถ้าเขาเอาข้อมูลบางอย่างออกมา จะอยู่กันไม่ได้ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  คำพูดนี้ตนชอบมาก เพราะตราบใดที่ตำรวจยศใหญ่ มีการออกมาแฉกันไปแฉกันมา ตนกับ ประชาชนก็จะได้รู้ว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เหลือตำรวจดีอยู่กี่คนหรือเหลือเพียงแค่รูปปั้นตำรวจอุ้มเด็กด้านหน้าแค่อย่างเดียว เพราะพูดตามตรงว่าตนเองก็เริ่มไม่ไว้วางใจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่มีเรื่องตั๋วและส่วยผิดกฎหมายก่อนหน้านี้แล้ว

และกรณีที่ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่ออกมาร้องต่อ ปปป. ให้ตรวจสอบ “บิ๊กโจ๊ก” ในปมจ่ายค่าไฟ-มีนักข่าวรับเงิน 10 คน ตนมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะเกินไป แล้วดูจากการออกมาไลฟ์สดเกือบทุกวัน ส่วนตัวก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า “นายอัจฉริยะ” อาจเป็นไม้เป็นมือให้ “บิ๊กต่อ” หรือ ผบ.ตร. คนใหม่ป้ายแดง เพราะจู่ ๆ จะไปมีข้อมูลเชิงลึกแล้วเล่าเป็นฉาก ๆ ได้ยังไง จึงเชื่อว่าต้องมีใครส่งข้อมูลให้ แต่จะเท็จจริงแค่ไหนก็ต้องให้ทั้งคู่ออกมาอธิบาย 

แต่อย่างหนึ่งที่ “นายอัจฉริยะ” ไปร้อง แล้วตนก็ได้ข้อมูลเชิงลึกมาว่าค่อนข้างจะเป็นเรื่องจริง คือประเด็นที่นักข่าวรับเงินจากทีม “บิ๊กโจ๊ก” และตำรวจคนอื่น ซึ่งเป็นนักข่าวจากช่องใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศ บางคนมีหน้าที่เขียนสคริปต์ ตัดต่อ จัดแจงให้ บางคนเขียนข่าวจากดำเป็นขาวแล้วส่งข่าวให้เพื่อน ๆ นักข่าวในวงการ บางคนเป็นแอดมินเพจของตำรวจ ซึ่งสูงสุดที่ได้รับเงินคือเดือนละ 300,000 บาท หรือแม้แต่โอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งตนมองว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ถูกต้อง ถือเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณของสื่อมวลชน และหากตรวจสอบแล้วพบว่าเงินที่นักข่าวเหล่านั้นได้รับ มีที่มาที่ไปเชื่อมโยงกับกระบวนการฟอกเงิน ก็ถือว่าผิดกฎหมายไปด้วย ถูกดำเนินคดีติดคุก 10 ปี

นอกจากนี้ยังพูดถึงประเด็นที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าวิกฤตที่ “บิ๊กโจ๊ก” กำลังเจออยู่ในตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก “ทนายตั้ม” ที่ชอบโพสต์ไลฟ์สไตล์หรูหราลงโซเชียล เช่นคลิปร้องเพลงกับ “มินนี่” เจ้าตัวเชื่อว่าทุกอย่างมันชัดเจน สังคมคงมองออก ตนไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะความสัมพันธ์ของตนกับ “ทนายตั้ม” ก็ยังเป็นเพื่อนต่อกัน ดังนั้นการที่เขาเงียบ ๆ ไปในช่วงนี้ ก็คงกำลังเคลียร์ตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตามในมุมมองของตน เชื่อว่าเส้นทางในสายตำรวจยศใหญ่ของ “บิ๊กโจ๊ก” คงจบเพียงแค่นี้ ต่อไปก็คงไม่มีบทบาทใด ๆ ออกสื่ออีก ทุกอย่างมันเกิดจาก “บริวารเป็นพิษ” เพราะการจะออกมาปฎิเสธว่าไม่รู้จักกับคนที่ไปกินข้าวร้องเพลงด้วย ขนาดแมวก็ยังไม่เชื่อ ยิ่งคนเหล่านั้นทำงานสีเทาค่อนทางดำอีกด้วย ซึ่งเผลอ ๆ กรณีนี้อาจจะเป็นกรณีเดียวกับที่ “คุณชูวิทย์” ออกมาแฉว่าบิ๊กตำรวจยุ่งเกี่ยวกับเว็บพนัน ก่อนหน้านนี้ด้วยก็ได้

แล้วยิ่งการที่วันนี้ “บิ๊กต่อ” ขึ้นเป็น ผบ.ตร. คนที่ 14 ทั้ง ๆ ที่ความอาวุโสน้อยสุด รวมถึงการรายงานสั่งย้าย 8 นายตำรวจ คนสนิท "บิ๊กโจ๊ก" ให้ไปช่วยราชการ ศปก.ตร. ด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นการสกัด “บิ๊กโจ๊ก” ให้พ้นจากอำนาจหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยสิ้นเชิง เผลอ ๆ อาจต้องไปนั่งตบยุงอยู่ข้างใน รวมถึงลูกน้องสาย “บิ๊กโจ๊ก” ก็จะถูกล้างบางด้วย แล้ว “บิ๊กต่อ” ก็จะมอบอำนาจให้กับคนของตัวเองที่เตรียมไว้แล้ว ขึ้นมาทำหน้าที่แทน “บิ๊กโจ๊ก”

ซึ่งการรับตำแหน่งของ “บิ๊กต่อ” ในวันนี้ ตนมองว่าคงมีตั๋วบางอย่างที่ดี ถึงทำให้คณะกรรมการไม่มองถึงประสบการณ์-ความอาวุโส และเชื่อว่าเป็นเรื่องของการเมืองด้วย เพราะถ้าสังเกตดีๆ “นายกเศรษฐา” มักจะพูดอยู่ 2 ประโยคคือ ในมุมทหารจะชอบพูดว่า “อย่าไปใช้คำว่าปฏิรูปกองทัพ มันไม่ดี มันแรง รักษาน้ำใจเขาไว้หน่อย” ส่วนมุมตำรวจจะชอบพูดว่า “อย่าไปใช้คำว่าสังคายนา มันแรง ตำรวจเป็นองค์กรที่มีเกียรติ” ก็อาจจะเป็นไปได้ว่านายกอาจจะต้องการร่วมกันพัฒนากับทหารและตำรวจหรือไม่?

พร้อมกับแซวว่าหรืออาจจะเป็นเพราะความเป็นมือปราบสายธรรมะของ “บิ๊กต่อ” ที่สวดมนต์ทุกวัน จึงหนุนหนำให้มีบุญบารมี บุญพาวาสนาส่งให้ได้ตำแหน่งก็ได้

ท้ายที่สุด “ทนายเดชา” ก็อยากจะฝากถึงเจ้าของเว็บพนัน เจ้าของบ่อน เจ้าของส่วย ซื้อขายตำแหน่งต่าง ๆ ว่าให้เตรียมตัวสร้างความสัมพันธ์ ทำความรู้จักกับนายตำรวจยศใหญ่หน้าใหม่ไว้ ใครที่จ่ายเงินไปแล้ว ก็อาจจะต้องจ่ายใหม่ เพราะคนใหม่จะเข้ามาดูแล ราคาอาจจะแตกต่างจากเดิมตามยศแต่ละพื้นที่

พร้อมกับขออวยพร “บิ๊กต่อ” ว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่าน หวังว่าท่านจะเป็นมือปราบสายบุญ เข้าวัดเข้าวารักลูกน้อง ลูกน้องเจ็บป่วย ตายก็ไปกอดคอร้องไห้เหมือนกรณีผู้กำกับเบิ้ม อยากให้ท่านเป็นตำรวจสายบุญจริง ๆ และก็ไม่ต้องจ่ายตังค์นักข่าว เป็นรายวันหรือรายเดือน ให้นำเสนอข่าวตามจริง แล้วท่านก็ต้องตรงไปตรงมา ทุกคนตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็ต้องคำนึงถึงอาวุโส ประสบการณ์ เหมือนที่ท่านได้มานี่แหละด้วย”

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส