"อ.ปรเมศวร์"เชื่อไม่มีกล้องนาทียิง ศาลสั่งลงโทษกำนันนกได้ดิ้นไม่หลุด

18 ก.ย. 66

"อ.ปรเมศวร์"เชื่อไม่มีภาพนาทียิง ศาลสั่งลงโทษกำนันนกได้ คดีนี้เป็นบทพิสูจน์ สตช.ว่าจะบอกความจริงให้ปชช.กลับมาเชื่อถือตำรวจได้มากน้อยเเค่ไหน

อ.ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน ได้เปิดเผยมุมมองต่อคดีกำนันสั่งยิงสารวัตรเเบงค์ว่าในเรื่องของกำนันนก จะต้องเเยกเป็น 2 คดี 1.สารวัตรเเบงค์ถูกยิง 2.ช่วยเหลือพาผู้ต้องหาหลบหนี

ซึ่ง 1.คดีสารวัตรเเบงค์ถูกยิงเป็นที่เเน่ชัดเเล้วว่า มูลเหตุจูงใจมีการหลบหนีไปด้วยกัน ช่วยกันทำลายหลักฐาน มีข้อหาชัด ถ้าเปรียบเทียบคดีเก่าๆ ที่ตำรวจยิงตำรวจ เเม้ไม่มีประจักษ์พยานเเต่ก็ลงโทษได้ เพราะมีมูลเหตุจูงใจ หรือคดี สส.พรรคการเมืองไปยิงนายกอบจ.ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีคนเห็นตอนยิงศาลก็สั่งลงโทษได้ เพราะฉะนั้นคดีนี้ถือว่าสมบูรณ์เเล้ว

ส่วน 2.คดีที่พาผู้ต้องหาหลบหนี เป็นคดีทุจริต มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือมาตรา 172 ดังนั้น นายตำรวจที่เหลือก็ควรจะตั้งข้อหาได้เเล้ว เเต่กลับช้ามาก หลังจากมีการโอนคดีมา ทำไมไม่โอนมาทั้งหมด จะได้ทำทีเดียวจะได้จบ เพราะมีความผิดต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน เเล้วตัวกำนันนกเองก็มีความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ในการทำลายหลักฐาน เเละพาผู้ต้องหาหลบหนี โดยคดีทั้งหมดควรจะฟ้องภายในต้นเดือน ธ.ค.66 คือ 84 วันนับตั้งเเต่จับผู้ต้องหาชุดเเรก 6 คน

ต้องรอดูว่าคดีนี้จะเป็นคดีที่พิสูจน์ความสามารถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีความจริงใจเเค่ไหน ถ้า ผบ.ตร.คนใหม่ขึ้นมาจะต้องชี้ให้ชัดเลยว่าจะดำเนินคดีกับใครบ้าง ไม่ใช่ตั้งข้อหาครึ่งๆกลางๆเอาไว้ เข้าใจว่าต้องรอกล้องวงจรปิด เเต่ตั้งข้อหาพื้นฐานไว้ก่อนได้

ส่วนกรณีที่มีประเด็นว่าบิ๊กโจ๊กออกมาพูดความคืบหน้าคดีต่างๆ เเล้วคู่กรณีจะเอามาต่อสู้ ตนอยากจะบอกว่าเวลาขึ้นศาล ตำรวจมีหลักฐานพยานอะไร เขาจะต้องเอามาเเสดงให้ดู จำเลยมีพยานหลักฐานก็ต้องเอาออกมา ทั้ง 2 ฝ่ายตรวจก่อนที่จะเริ่มสืบพยาน ถ้าไม่มีข้อสงสัยก็ไม่ต้องเอามา การที่ตำรวจเปิดเผยภาพวงจรปิดเป็นภาพนิ่งเเค่บางส่วน นั้นอาจเป็นการเปิดเผยเฉพาะที่จำเป็น ไม่เหมือนเมื่อก่อน

ดังนั้นการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เเต่กลับดีที่จะได้รู้ว่าความเลวร้ายของการกระทำเป็นอย่างไร ตนขอเป็นกำลังใจให้ตำรวจที่จะทำต่อเรื่องนี้ ขอให้ชัดเจนประชาชนจะได้สบายใจ ทุกคนฝากความหวังไว้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าทำความจริงให้ปรากฏได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้ความชอบมากเท่านั้น

และตำรวจทั้ง 6 คนที่ให้การช่วยเหลือตนมองว่าก็น่าจะรอด แต่คนที่ไปเยี่ยมไข้ไม่เกี่ยว เพราะไม่ได้ช่วย ส่วนคนที่แตกตื่นหลบหนีก็ควรต้องโดนด้วย เพราะไม่ใช่วิสัยตำรวจจะมาบอกว่าไม่รู้ไม่ได้

และการโอนสำนวนมาที่กองปราบตนมองว่าดีแล้ว แต่อย่าโอนเฉพาะเรื่องฆ่า โอนก็ต้องโอนทั้งหมดเพราะมันจะได้เป็นเรื่องเดียวกัน

ตอนนี้ยืนยันว่าสำนวนคดีเรื่องฆ่าสารวัตรศิวหนักแน่นแล้ว ไปถึงศาลก็คงไม่โดนยกฟ้องและก็อาจได้รับโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตได้ หากได้นำสืบแล้วว่ามูลเหตุจูงใจถึง

ตอนนี้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำอะไรคนก็ไม่เชื่อ ขนาดจับผู้ต้องหาประชาชนยังมองว่าตับผิดตัวจนกรมราชทัณฑ์ต้องมาชี้แจง ตนมองว่าเรื่องนี้คงไม่ได้จับผู้ต้องหาปลอมอยู่แล้ว ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ ไปสนใจเรื่องการทำคดีดีกว่า.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส