“นฤมล” ถอดรหัสแบงก์ SVB สหรัฐอเมริกาถูกสั่งปิด ลุกลามสู่ “เครดิตสวิส” แนะทุกส่วนของไทยเฝ้าระวัง เร่งสร้างความเชื่อมั่น ลดปัจจัยเสี่ยง
วันที่ 16 มี.ค. 66 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีต รมช.แรงงาน โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กระบุว่า “วันศุกร์ที่ 10 มี.ค. 66 ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB ที่สหรัฐอเมริกาถูกสั่งปิด ห่างมาแค่ 5 วัน ธนาคารเครดิตสวิส ( Credit Suisse ) สถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ กำลังประสบปัญหาใหญ่ อาจลามเป็นความเสี่ยงเชิงระบบตลาดการเงินยุโรป กว่าจะเกิดเหตุเมื่อวานมีสัญญาณของความสูญเสียที่ก่อตัวมาร่วม 2 ปี ดังนี้
- มี.ค. 64 Credit Suisse สูญเสีย 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากปล่อยให้ Archegos Capital ใช้เงินกู้ไปเก็งกำไรในกองทุนบริหารความเสี่ยง( Hedge Fund ) ในสหรัฐอเมริกา ที่ผิดพลาด
- นักลงทุน ผู้ถือหุ้น ทยอยถอนเงินออกจาก Credit Suisse เพราะขาดความเชื่อมั่น เฉพาะปีที่แล้ว มียอดถอนออกรวม 133,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และรายงานผลขาดทุนเท่ากับ 7,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ต.ค. 65 Credit Suisse ปรับโครงสร้างใหญ่ แยกธุรกิจเพื่อการลงทุนออกไป และลดจำนวนพนักงานร่วม 9,000 คน แต่ยังมีความจำเป็นต้องออกหุ้นเพิ่มทุน
- ธนาคารแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย (Saudi National Bank) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร Credit Suisse ประกาศไม่เพิ่มทุนให้ เพราะถือหุ้นอยู่แล้ว 9.8% จะไม่เพิ่มทุนจนเกินลิมิตที่ 10%
- เมื่อวานวันที่ 15 มี.ค. ราคาหุ้น Credit Suisse จึงร่วงลงหนักถึงกว่า 24%
ธนาคารกลางสวิสจึงต้องออกประกาศว่า พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ Credit Suisse ในคำประกาศยืนยันว่า เหตุที่เกิดนี้มิได้เชื่อมโยงโดยตรงกับกรณีของธนาคาร Silicon Valley ในสหรัฐอเมริกาถูกสั่งปิด ถึงกระนั้นก็ตามอารมณ์และความวิตกกังวลของนักลงทุนเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แม้สัปดาห์ที่แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยต่างออกมายืนยันถึงความมั่นคงของระบบการเงินในไทย แต่ความกังวลถึงผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน ย่อมสร้างความตื่นตระหนกกับนักลงทุนและคนไทย
จากข้อมูลที่ตนติดตามมาโดยตลอด ยังเชื่อมั่นในเสถียรภาพระบบการเงินและสถาบันการเงินไทย แต่วันนี้เรากำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ที่ภาครัฐต้องตรึงความรู้สึกและอารมณ์ของคนไว้ให้ได้ก่อนจะลุกลามบานปลาย จึงหวังว่าวันสองวันนี้ จะได้เห็นการแถลงร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินและสถาบันการเงินไทย”