เผาแล้ว "ผอ.อ้อย" เหยื่อ "ผู้กองเหน่ง" ทหารเหี้ยมอุ้มฆ่า พ่อแม่รอคอยความยุติธรรมกว่า 6 ปี

15 มี.ค. 66

เผาแล้วศพ "ผอ.อ้อย" เหยื่อ "ผู้กองเหน่ง" ทหารเหี้ยมอุ้มฆ่า พ่อแม่รอคอยความยุติธรรม มากว่า 6 ปี พอใจ 3 ศาลฯ พิพากษาประหารชีวิตสถานเดียว

เมื่อเวลา 15.50 น.วันที่ 15 มี.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ วัดศรีซำเม็ง บ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ศรีสะเกษ เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีฌาปนกิจศพ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ "ผอ.อ้อย" อดีต ผอ.กองการศึกษา อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ซึ่งถูก ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ "ผู้กองเหน่ง" นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ฆ่าอย่างโหดเหี้ยมแล้วนำศพไปทิ้งใกล้ฐานทหารแห่งหนึ่ง ชายแดนประเทศไทย-ลาว ด้าน จ.อุบลราชธานี โดยนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 67 ปี และ นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 66 ปี ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของ ผอ.อ้อย ร่วมกับญาติพี่น้องได้จัดพิธีศพอย่างเรียบง่าย มีญาติพี่น้องมาร่วมพิธีจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าโศก

โดยมี นายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง ทนายความชื่อดัง ที่เป็นทนายว่าความให้กับ นายบุญเลิศ พ่อของผอ.อ้อย ได้มาร่วมในพิธีนี้ด้วยโดยหลังจากพระสงฆ์ประกอบพิธีทางศาสนาและวางดอกไม้จันทน์หน้าโลงศพ ผอ.อ้อย แล้ว

บรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านซำเม็ง ได้พากันขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์เพื่อเป็นการประชุมเพลิงผอ.อ้อย หลังจากที่ได้บรรจุศพผอ.อ้อยเอาไว้ที่วัดแห่งนี้เป็นเวลาประมาณ 6 ปีเศษแล้ว

นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 66 ปี แม่ของผอ.อ้อย กล่าวว่า การที่ตนและญาติพี่น้องได้นำศพของ ผอ.อ้อย ออกจากซองบรรจุศพมาประกอบพิธีฌาปนกิจศพในวันนี้ เนื่องจากว่าตนและครอบครัวมีความพอใจที่ศาลสถิตย์ยุติธรรม ทั้ง 3 ศาลได้พิพากษายืนให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งให้ตายตามลูกสาวของตน

ซึ่งจนถึงบัดนี้แม้ว่าศาลฎีกาจะพิพากษาประหารชีวิตผู้กองเหน่งแล้ว ตนก็ยังไม่ยอมอโหสิกรรมให้กับผู้กองเหน่ง เนื่องจากว่าเป็นชายชาติทหารแต่ว่าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตฆ่าลูกสาวของตนอย่างโหดร้ายทารุณมาก ดังนั้นตนจึงให้ผู้กองเหน่งรับโทษทัณฑ์รับกรรมที่ก่อเอาไว้ตลอดไป

นายประสิทธิศักดิ์ ฝอยทอง ทนายความที่ว่าความคดีผอ.อ้อย จนกระทั่งผู้กองเหน่งถูกประหารชีวิตกล่าวว่า คดีนี้จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ปรากฎทำให้ศาลเชื่อว่าผู้กองเหน่งคือฆาตกรโหดที่ฆ่าผอ.อ้อยอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ทั้ง 3 ศาล ยืนโทษประหารผู้กองเหน่ง แต่ว่าก็เป็นสิทธิ์ของผู้กองเหน่งที่จะถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษตามกระบวนการยุติธรรมที่กำหนดไว้

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ตนได้ทำหน้าที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผอ.อ้อยจนคดีถึงที่สุดแล้ว และจำเลยคดีนี้ต้องโทษประหารชีวิตโดยขณะนี้ผู้กองเหน่งจำเลยคดีนี้ยังคงถูกจำคุกอยู่ที่แดนประหารเรือนจำบางขวางกรุงเทพเพื่อรอผลการถวายฏีกาต่อไป หากผลการถวายฏีกาออกมาเป็นเช่นไรก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดคดีนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าย้อนรอยคดีนี้ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ส.ค.2560 นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65 บ้านซำเม็งต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยนายบัวกัน อายุ 48 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.16 บ้านโนนเจริญ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์น้องชายและญาติพี่น้องอีก 2 คน ได้เดินทางมาเข้าร้องทุกข์กับผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ ว่า น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ “ผอ.อ้อย” อายุ 37 ปี รับราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการ (ผอ.) กองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ชำอ.กันทรลักษ์ ลูกสาวของนายบุญเลิศและเป็นหลานสาวของนายบัวกัน ได้หายตัวไปพร้อมด้วย รถยนต์เก๋ง โตโยต้า รุ่นวีออส สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2560 ปล่อยให้น้องใบเฟิร์นลูกสาววัย 8 ขวบอยู่กับพ่อและตายายมานานกว่า 1 เดือน

นายบุญเลิศ พ่อของผอ.อ้อย ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บึงมะลู เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2560 เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามลูกสาวให้ ทั้งนี้มีเบาะแสว่าก่อนหน้านี้มี นายทหารคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ใกล้เขาพระวิหาร ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ผอ.อ้อย มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทั้งที่นายทหารคนดังกล่าวมีภรรยาอยู่แล้ว ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.2560 นายวิทยา เกษแก้ว อายุ 37 ปี สามีผอ.อ้อย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสภ.กันทรลักษ์อีกครั้งว่า ภรรยาหายตัวไป

จากนั้น พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ศรีสะเกษ หลังได้รับรายงานได้สั่งแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจขึ้นมาคลี่คลายคดีอย่างเร่งด่วน โดยชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษได้ร่วมกับชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ชุดสืบสวน สภ.กันทรลักษ์ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกองปราบปรามออกสืบสวนหาเบาะแสร่องรอยของคดี

ชุดสืบสวนคดีนี้ได้ทำงานอย่างหนักและรวบรวมพยานหลักฐานสามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ คือ ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ “ผู้กองเหน่ง” นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพวกรวม 4 คน

เริ่มจากแจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมพ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขณะที่นายบุญเลิศกับนายวิทยาสามีของผอ.อ้อย และญาติพี่น้องได้พากันออกตระเวนตามหาร่างของผอ.อ้อยไปตามป่าเขาและตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาและชายแดนไทย-ลาวทุกแห่งที่สงสัยว่าจะเป็นที่ซุกซ่อนร่างของผอ.อ้อย

จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 23 ต.ค.2560 หลังจากการค้นหาร่างของ ผอ.อ้อย ผ่านไปนานกว่า 3 เดือน จึงประสบผลสำเร็จเมื่อนายบุญเลิศอุ่นอ่อนและครอบครัวได้พากันมาเดินตามหาร่างผอ.อ้อยที่บริเวณถนนทางไป เนิน 500 ห่างจากฐานอนุพงศ์บ้านโนนสูงต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ประมาณ 400 เมตร

สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา นางแหลม อุ่นอ่อน แม่ของผอ.อ้อย ฝันว่าผอ.อ้อยมาบอกว่าศพอยู่ข้างทางใกล้กับทางไปฐานทหารที่ อ.น้ำยืน ดังนั้นจึงได้พากันมาตามหา โดยขณะที่นายบัวกันเดินตามหาผอ.อ้อยอยู่ในป่าห่างจากถนน ทางไปเนิน 500 ประมาณ 50 เมตร ได้พบหัวกะโหลกมนุษย์วางอยู่บนพื้นห่างออกไปประมาณ 5 เมตร พบเส้นผมยาวของผู้หญิงกองม้วนอยู่และใกล้กันพบเข็มขัดผ้าและหัวเข็มขัดของข้าราชการที่เป็นแบบผ้าของผู้หญิงตกอยู่กับพื้น ใกล้กันยังพบนาฬิกาข้อมือแบบผู้หญิงวางอยู่โดยนาฬิกายังคงเดินอยู่รวมทั้งกระดูกส่วนต่างๆของมนุษย์

นายบัวกันจึงได้รีบเรียกให้นายบุญเลิศและนางแหลมเข้ามาดู จากนั้นได้โทรศัพท์แจ้งให้ นายวิทยา เกษแก้ว สามีของผอ.อ้อยและญาติพี่น้องมาตรวจดูที่เกิดเหตุรวมทั้งแจ้งให้ พ.ต.อ.ประเสริฐศักดิ์ ศรีไชย ผกก.กลุ่มงานสอบสวนภ.จว.ศรีสะเกษ พนักงานสอบสวนคดีนี้และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ

ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอพบว่าเป็นกระดูกของผอ.อ้อยจริง วันที่ 8 ต.ค.2560 พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งดำเนินคดีเพิ่ม 3 ข้อหาหนักกับผู้กองเหน่งคือ ฆ่าคนตายโดยเจตนาซ่อนเร้นอำพรางศพและกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนคดีส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องและวันที่ 5 ม.ค.2561 พนักงานอัยการจังหวัดกันทรลักษ์ได้ส่งสำนวนคดีฟ้อง ร.อ.ศุภชัยกับพวกต่อศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ซึ่งสำนวนคดีมีจำนวน 4 แฟ้มประมาณ 3,000 หน้า

หลังจากศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ได้มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 14 มี.ค.2562 เวลา 09.00 น.ที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยศาลจังหวัดกันทรลักษ์ได้พิพากษาให้ประหารชีวิต ร.อ.ศุภชัยหรือผู้กองเหน่งสถานเดียวและสั่งจ่ายค่าเสียหาย 2,760,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

เนื่องจากมีพยานหลักฐานแน่นหนาว่าเป็นผู้สังหารผู้ตายแล้วนำศพไปทิ้งในป่าชายแดนที่ จ.อุบลราชธานี จริงส่วนจำเลยที่ 2-4 ให้ยกฟ้องจำเลยอุทธรณ์และฏีกา แต่ว่าผลการพิพากษายังคงยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคือพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งสถานเดียว ทำให้พ่อและแม่ของผอ.อ้อยมีความพอใจและได้นำเอาศพของผอ.อ้อยมาประกอบพิธีประชุมเพลิงในวันนี้

 

advertisement

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส