กรมควบคุมมลพิษ แถลงยกระดับมาตรการเพื่อลด PM2.5 หลังพบค่าฝุ่นรุนแรงระดับ 3 แต่ยังไม่ต้องถึงขั้นปิดสถานศึกษา
วันนี้ (2 ก.พ.66) นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แถลงมาตรการ "การยกระดับมาตรการเพื่อลดแหล่งกำเนิด PM2.5 และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย" ที่ปัจจุบันภาพรวมค่า PM 2.5 ของประเทศไทย เกินค่ามาตรฐานเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและมีผลกระทบต่อสุขภาพในบางพื้นที่
โดยกระทรวงทรัพยากรฯได้ ร่วมกับ กทม.กำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้น และขอความร่วมมือ WFH ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ เพื่อลดการจราจร ลดการเคลื่อนที่และดูแลสุขภาพไม่ให้มีความเสี่ยง เนื่องจากเป็นวันที่อากาศจะปิด และมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 มากที่สุด
กรมควบคุมมลพิษระบุว่า สถานการณ์ฝุ่นตอนนี้ ยังอยู่ในระดับ 3 มีผลกระทบต่อสุขภาพ ค่าฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 61 - 131 มคก./ลบ.ม. ตามหลักเกณฑ์แล้ว ยังไม่ถึงระดับที่จะต้องปิดสถานศึกษา แต่ขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยยังไม่ถึงเกณฑ์ให้รัฐบาลมีข้อสั่งการให้ Work From Home และปิดสถานศึกษา
ส่วนการแก้ไขกรมควบคุมมลพิษ ได้ทำเรื่องไปถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนายวราวุธ ศิลปอาชา ในฐานะรัฐมนตรี สั่งการให้กรมป่าไม้ และกรมอุทยานฯ เข้มข้นในการกำกับดูแลการเผาในพื้นโล่ง การเผาภาคการเกษตร รวมไปถึงให้ระวังไฟป่า ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมาตรการลงทะเบียนการเผา โดยจะให้แต่ละจังหวัดดำเนินการพิจารณาอนุญาตเป็นรายๆไป ไม่ให้มีการเผาซ้ำซ้อน หรือในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ตั้งเป้าหมายว่า จะสามารถลดการเผาลงไปเหลือเพียงประมาณ 500 - 600 จุด จากเดิมที่พบว่ามีค่าเฉลี่ยการเผา 1,200 จุด
ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่การก่อสร้าง ขณะนี้ตรวจวัดยังไม่พบ ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบางพื้นที่ของประเทศ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในอัตราไม่เกินร้อยละ 10
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาทางกรมควบคุมมลพิษ ดำเนินการร่วมกับทาง กทม.โดยผู้ว่าฯ กทม. ตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนทั้งหมด 800 โรงงาน ซึ่งมีการกำกับและสร้างแนวทางให้โรงงานทำระบบป้องกันฝุ่นให้ผ่านมาตรฐาน
“ ขณะที่ภาพรวมค่า PM 2.5 ของประเทศไทย โดยเฉพาะ กทม. ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐาน อยู่ในขั้นส้มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ในส่วนของ กทม. อยู่ในขั้นสีแดงที่อยู่ในขั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้จาะระบบกรมควบคุมมลพิษ และกทม. ได้วัดค่าย้อยพื้นที่แต่ละเขต พบว่าหลายพื้นที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว
หัวใจสำคัญฝุ่นที่เกินขึ้นมาในช่วงนี้ มาจากการพบจุดความร้อนกว่า 1,200 จุด จากเหตุไฟไหม้ป่า และการเผาพืชผลทางการเกษตร ทำให้กระทบต่อค่าฝุ่น เป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ค่า PM2.5 เกินมาตรฐาน และในสภาพอากาศปิด ช่วงฤดูหนาวเหมือนฝาชีครอบในเมือง”
“สิ่งที่ต้องย้ำช่วงวันสองวันนี้ คือเรื่องการบริหารจัดการเชื้อเพลิง โดยเฉพาะการเผาในป่าและพื้นที่การเกษตร จะต้องมีการลงทะเบียน เพื่อขออนุญาตเผา เพราะตอนนี้มีจุดร้อนกว่า 1,200 จุด เราต้องลดให้ได้ 50-60% ยืนยันว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจ 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ จำนวนวันที่เกิดฝุ่นลดลงไป แต่เราก็จะต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปีนี้ เพื่อให้ต่ำกว่ามาตรฐานได้อย่างถาวร”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังสำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพกลาง กรุงธนเหนือ และใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ท้ายลม และพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังสำหรับ 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ บริเวณภาคเหนือตอนบนและล่าง
กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า ปี 2566 ปริมาณฝุ่น จะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่แล้วก็เนื่องจากสภาพอากาศปิดจนถึงเดือนมีนาคม และการใช้ชีวิตของประชาชนกลับมาเป็นปกติมีการสัญจร อาจจะทำให้ฝุ่นพีเอ็มมีค่าเกินมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งทางกรมฯ จะพยายาม ควบคุมปริมาณฝุ่นจากต้นต่อไม่ให้เกินค่ามาตรฐานโดยเทียบจากปี 2565
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามรายงานสถานการณ์ PM2.5 และคุณภาพอากาศได้ทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4Thai และ AirBKK โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว หากมีอาการทางสุขภาพขอให้ไปพบแพทย์