โจ๋ 15 ซื้อมีดฆ่าอริยัวะถาม "เก๋าหรอ" อึ้งแทงพรุนผิดตัว ย่าชราขาดเสาหลัก (คลิป)

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความไว้ว่า "ญาติพี่น้องใคร โดนแทงที่ตลาดนกฮูกครับ ชื่อโตโต้ บ้านอยู่ท่าทรายครับ ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว รพ.พระนั่งเกล้านนทบุรีครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ"

เหตุเกิดวันที่ 3 ม.ค.66 เวลาประมาณ 20.30 น. บริเวณตลาดนกฮูก 1 เลี่ยงเมืองนนทบุรี โดยกลุ่มวัยรุ่นผู้เสัยชีวิตนัดกันไปเดินเล่นที่ตลาดนกฮูก1 แต่ถูกกลุ่มคู่กรณีไม่รู้จักกันมาก่อนประมาณ 9 คน โดยมีนายพีรภัส หรือ ภัส อายุ 15 ปี ผู้ก่อเหตุ วิ่งเข้ามาใช้มีดแทงนายสัจจะ หรือ โตโต้ อายุ 15-16 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเป็นลานใกล้ป้อม รปภ. สาเหตุแค่มองหน้าและมีการพูดท้าทายกัน

5 ม.ค. 66 ทีมข่าวเดินทางมายังที่เกิดเหตุ ตลาดนกฮูก1 เลี่ยงเมืองนนทบุรี ถนนเลี่ยงเมือง ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ตลาดช่วงเย็น เปิดตั้งแต่ 15.00-24.00 น. เช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่เพราะตลาดยังไม่เปิด ป้อมรักษาความปลอดภัย พื้นที่เกิดเหตุนั้นเป็นจุดที่ผู้เสียชีวิตวิ่งล้มลงนอน ใกล้กันเพียงแค่ระยะ 5 เมตร

ที่วัดชมภูเวก 3 ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี เป็นวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ นายสัจจะ อายุ 15 ปี ผู้เสียชีวิต นางสาวสุภาวรรณ ขาวผ่อง อายุ 45 ปี อาของผู้เสียชีวิต ระบุว่า ตนเองทราบเหตุการณ์ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 3 ม.ค.66 จากนั้น จึงได้รีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที หลังทราบว่าหลานชายถูกกลุ่มคู่อริใช้อาวุธมีดแทงจนเสียชีวิตภาพในตลาดนกฮูก เลี่ยงเมืองนนทบุรี

จากนั้นจึงได้เดินทางไปแจ้งความความที่สถานีตำรวจภูธรรัตนาธิเบศร์ ในระหว่างที่ถึงสถานีตำรวจนั้น ตนเองได้พบเจอกับกลุ่มวัยรุ่นและญาติของผู้ก่อเหตุ จึงพยายามที่จะเข้าไปพูดคุย เกี่ยวกับปมของการก่อเหตุ แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่อนุญาตให้พูดคุยกัน เนื่องจากห่วงความปลอดภัย และเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกัน

นอกจากนี้ ตนเองได้พูดคุยกับกลุ่มกับกลุ่มของเพื่อนหลานชาย ขณะเกิดเหตุ ทราบว่า ระหว่างนั้นหลานชายของตนเอง เลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ภายในตลาดดังกล่าว เนื่องจากว่านายเก๋ ซึ่งเป็นคนที่อุปการะดูแลหลานชายจะพาไปเที่ยวปีใหม่ จึงชวนเพื่อนไปเลือกซื้อเสื้อผ้า ก่อนที่ทางกลุ่มของหลานชายจะบังเอิญเจอกับ เพื่อนอีกกลุ่ม และพูดคุยทักทายกัน จนทำให้กลุ่มของผู้ก่อเหตุพบเห็นและเข้าใจผิดว่า หลานชายคือกลุ่มคู่อริจึงได้ใช้อาวุธมีดแทงเข้าที่บริเวณด้านหลัง 6 แผล บริเวณซี่โครง หัวไหล่ และเอว ขณะที่หันหลังกำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ เพราะว่าหลานชายไม่ได้ระวังตัว ไม่ได้คิดว่าจะถูกกลุ่มวัยรุ่นผู้ก่อเหตุทำร้าย เนื่องจากเห็นกันมาก่อนหลานชายไม่เคยมีปัญหาทะเลาะวิวาทหรือเขม่นกันมาก่อน อีกทั้งตนเองขอยืนยันว่าหลานชายและกลุ่มเพื่อน ๆ ไม่ได้ตะโกนท้าทายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุอย่างแน่นนอน

ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัว ทำใจไม่ได้ เนื่องจากหลานชายเป็นเสมือนเสาหลักของการดูแลย่าที่ป่วยพิการอัมพาต เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ จะมีเพียงหลายชายคนนี้เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งในส่วนของการ หากับข้าวอาหาร และพาไปโรงพยาบาล ที่ผ่านมาหลานชายได้ดูแลย่ามาตลอดระยะเวลาหลายปี ตั้งแต่พ่อของเจ้าตัว เสียชีวิตไปได้ประมาณ 8 ปี ที่ผ่านมาหลานชายนั้นเป็นคนขยันและมักจะเป็นที่รักของบุคคลรอบข้าง และช่วยงานวัดมาได้อย่างดีโดยตลอด

นายบิ๊ก (นามสมมติ) เพื่อนสนิทเสียชีวิต เล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเอง เดินทางไปกับกลุ่มเพื่อน ๆ โดยรวมผู้ตายแล้วทั้งหมด 5 คน และไปพบเจอกับรุ่นพี่อีก 3 คนที่ตลาด รวมทั้งหมด 8 คน โดยเพื่อนที่ไปซื้อของนั้นจะไปวันหยุดปีใหม่ ไปเที่ยวพูลวิลล่ากันจึงไปซื้อเสื้อผ้า ต่อมาเมื่อตนเองเจอกลุ่มรุ่นพี่ของตนเองแล้วนั้น ด้านรุ่นน้องของตนเองก็ได้พูดทักทายกับกลุ่มรุ่นพี่ของตนเองและพูดคุยกันว่ากลุ่มของนายพีรภัส ผู้ก่อเหตุ คือกลุ่มที่เคยเป็นอริและเคยมีปัญหากันมาก่อน

แล้วทางด้านรุ่นพี่ของตนเองและกลุ่มของตนเองก็ได้เดินไปหา กลุ่มของนายพีรภัส และต่างคนต่างเดินมาเจอกัน ตนเองก็ได้เอ่ยถามว่า "จะเอาข้างนอกหรือข้างใน" เหมือนกับทางฝั่งของเขาเองนั้นไม่มีใครตอบ ตนเองและรุ่นพี่ก็เดินตามกันไป ในขณะนั้นนายโตโต้ เพื่อนสนิทตนเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร ยืนเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าตามปกติ ตนเองก็เดินแยกย้ายกันเหมือนทั้ง 2 กลุ่ม ระหว่างกลุ่มตนเองที่รวมกับรุ่นพี่ และกลุ่มของนายพีรภัส ก็ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน เดินซื้อของตามปกติ

เพียงไม่นาน นายพีรภัส เหมือนรู้สึกว่าตนเองตามหลัง ก็ได้คว้ามีดออกมาแล้ววิ่งปรี่มาแทงที่ หลังของนายโตโต้ที่กำลังยืนเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ และผลักโตโต้เข้าไปแทงแล้วตนเองก็จะวิ่งหนี ออกจากจุดดังกล่าว แล้วเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่วิ่งมา จึงกลับมาดู ก็เห็นนายโตโต้วิ่งออกมา แล้วตนเองได้เข้าไปกอดคอ แล้วประคองนายโตโต้ บอกว่า "โนแทงไม่ได้เป็นอะไรมาก ยังไหว" ซึ่งขณะนั้นนายโตโต้เริ่มทรุดลง และล้มลงนอนแถวบริเวณป้อม รปภ. แล้วได้ประสานโรงพยาบาล และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

นางประภา มูลระหัตร์ อายุ 68 ปี ย่าของผู้เสียชีวิต พูดทั้งน้ำตาว่า หลานเสียไปแล้วตนเองจะอยู่ได้อย่างไร ที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อของหลานเสียไปนั้น หลานยังอายุเพียงแค่ 7-8 ขวบ ก็เริ่มดูแลตนเองมาตั้งแต่นั้นมา หลานชายนั้นเป็นเด็กดีน่ารัก คอยดูแลปรนนิบัติ หาอาหารมาให้กินและพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลทุกครั้ง ตนเองจะต้องไปโรงพยาบาลทุก 2 เดือน เนื่องจากมีโรคประจำตัว ทั้งความดัน เบาหวาน และโรคหัวใจ อีกทั้งตนเองเป็นผู้พิการ สามารถช่วยเหลือตนเองได้น้อยมาก เนื่องอัมพาตซีกซ้าย ขาซ้ายใช้งานไม่ได้ มีลูกชายที่คอยแวะเวียนเข้ามาดูแลบ้าง และหลานชายคนนี้เป็นผู้ที่ดูแลตนเองอยู่เสมอ

โดยหลานชายนั้นจะไปทำงานที่วัดชมภูเวกเป็นประจำ ทุกครั้งที่ได้เงินมา จะนำเงินมาให้ตนเองไว้ใช้จ่ายครั้งละประมาณ 1,000 บาท และส่วนที่เหลือนั้น เจ้าตัวก็จะเก็บไว้ใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้า ส่วนตัวยอมรับว่าเสียใจมากที่หลานชายเสมือนเสาหลักของครอบครัวได้จากตนเองไปแล้ว ตนเองก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไร ไม่มีใครมาคอยดูแลอีกแล้ว ส่วนทางด้านผู้ก่อเหตุนั้นตนเองก็อยากจะให้ติดคุกไปนานนาน ไม่ต้องออกมาใช้ชีวิต และหากว่าขณะนี้ผู้ก่อเหตุเดินมาอยู่ตรงหน้า ตนเองก็จะใช้มีดแทงให้เสียชีวิตเช่นเดียวกับที่เขาทำกับหลานชายตน

พ.ต.อ.เมษนนท์ นาขวัญ ผู้กับกับการสถานีตำรวจภูธร รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ให้ข้อมูลว่า จากที่สามารถจับกุมตัวนายพีรภัส หรือ ภัส อายุ 15 ปี ผู้ก่อเหตุ และพรรคพวกได้นั้น เบื้องต้นจากการสอบปากคำ ทราบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเดินทางมาที่ตลาด ก่อนจะประสบพบเจอกับกลุ่มของนายสัจจะ ผู้เสียชีวิต ซึ่งมีการมองหน้ากัน ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน โดยทางด้านนายพีรภัส ผู้ก่อเหตุ เกิดความโมโห มีการเขม่นกันกับกลุ่มของผู้เสียชีวิต จึงใช้อาวุธมีดวิ่งมาแทงผู้เสียชีวิต ขณะที่กำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ในตลาด ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ผู้เสียชีวิตวิ่งหนี และไปล้มเสียชีวิตบริเวณจุดใกล้ป้อม รปภ. ก่อนที่ตำรวจจะสามารถเข้าจับกุมได้

ผู้ต้องหา ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เพียงแค่มองหน้าแล้วเกิดความไม่พอใจกันและเขม่นกัน และตนเองได้ตะโกนด่าทอ จึงใช้อาวุธมีดแทงจนเสียชีวิต ตำรวจได้ตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และพกพาอาวุธมีดไปในที่สาธารณะ และได้นำตัวผู้ต้องหาส่งสถานพินิจ จ.นนทบุรี เป็นที่เรียบร้อย ส่วนกลุ่มของผู้ต้องหานั้นไม่ได้มีการตามตัวเพิ่มเติม เนื่องจากว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องเห็นเหตุการณ์เพียงเท่านั้น และสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้และดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว