“ศรีสุวรรณ” ยื่น สตง.สอบเปลี่ยนป้ายสถานีกลางบางซื่อราคาเกินควรหรือไม่

5 ม.ค. 66

“ศรีสุวรรณ” ยื่น สตง.สอบปมเปลี่ยนป้ายสถานีกลางบางซื่อราคาแพงเกินควร-ขัด พ.ร.บ.จัดซื้อหรือไม่

 

วันที่ 5 ม.ค.ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้มายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน/ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ขอให้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน กรณีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าจ้างบริษัทเอกชนจัดทำและเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์และตราสัญลักษณ์ของ รฟท.ในราคากว่า 33 ล้านบาท ว่าแพงเกินไปหรือไม่

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า พบข้อพิรุธหลายประการจากการที่ รฟท. ใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วย "วิธีเฉพาะเจาะจง" ทำให้ไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ทำให้ได้ผู้รับจ้างในราคาสูงเกินสมควร อาจเป็นการขัดหรือแย้งต่อ“พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 เพราะไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน วิธีการตามที่ ม.11 กำหนดไว้ และไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นที่จะใช้วิธีเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด อีกทั้งเป็นการขัดหรือแย้งต่อ ม.82 อย่างชัดเจน เพราะไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน วิธีการที่กฎหมายให้ใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปและวิธีการคัดเลือกตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเสียก่อน

นายศรีสุวรรณกล่าวต่อว่า แม้ทาง รฟท.จะออกมาแถลงชี้แจงเมื่อวันก่อน ก็ไม่มีเหตุผลหรือน้ำหนักที่เพียงพอที่จะเข้าข่ายข้อยกเว้นเกี่ยวกับการที่ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วน และไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และหากจะล่าช้าออกไปก็ไม่ทำให้กิจการของ รฟท.เสียหาย หรือล้มละลาย หรือล่มจมแต่อย่างใด และการจัดทำและติดตั้งป้าย ไม่มีเหตุผลทางเทคนิคที่ใช้เป็นข้ออ้างเพราะมีกิจการร้านค้า บริษัท หรือผู้ประกอบการมากมายในประเทศไทย ที่สามารถจัดทำและติดตั้งป้ายประเภทดังกล่าวได้

นอกจากนั้น คณะกรรมการกำหนดราคากลางทั้ง 6 คนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการนำข้อมูลผู้ประกอบการอื่นใดในประเทศนี้ มีมาเทียบราคาหรือไม่ และควรที่จะเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการดังกล่าว หากจะพิสูจน์ว่าการดำเนินงานโปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมาย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่าชื่อสถานีดังกล่าวได้รับพระราชทานชื่อใหม่มาตั้งแต่เดือน ก.ย.2565 แต่เหตุใดจึงมีการเร่งรีบดำเนินการในเดือน ธ.ค.2565 แล้วมาใช้วิธีการประมูลแบบ “เฉพาะเจาะจง” ทั้ง ๆ ที่ รฟท.สามารถเลือกใช้การประมูลโดยให้มีคู่แข่งในการประมูล ยกเว้นจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะหรือไม่ เพราะสุดท้ายผู้ที่ได้รับงานดังกล่าวพบว่า เป็นผู้ซึ่งเคยเป็นคู่สัญญาการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มาแล้วไม่ต่ำกว่า 8 โครงการ มูลค่างานรวม  52,512.028 ล้านบาท ซึ่งการใช้อำนาจดังกล่าวอาจเข้าข่ายฝ่าฝืน ม.4 ประกอบ ม.11 ม.12 แห่ง พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 หรือกฎหมายฮั้วประมูลได้

ทั้งนี้ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความมาร้องให้ สตง.ตรวจสอบตามประเด็นที่กำหนด หากพบความผิดปกติให้ส่งเรื่องไปให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ม.221 ด้วย นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส