"ม้า อรนภา" เปิดไทม์ไลน์ละเอียดยิบ ปมก่อนเกิดเหตุ ไม่ได้ "ตบ" แค่ "แตะหน้า"

30 พ.ย. 65

"ม้า อรนภา" เปิดใจปมข่าวตบ "ดาราชายรุ่นน้อง" เพราะไม่ยอมไปกินปูเป็นเพื่อน ลั่น ไม่ใช่การตบ แค่แตะหน้า เพราะมือไว เปิดไทม์ไลน์ละเอียดยิบ ปมก่อนเกิดเหตุ

โดย "ม้า อรนภา" เผยว่า "ได้คุยกับน้องดาราชายคนนี้ แล้วบอกเธอเป็นคนหล่อ แต่เสียอย่างเดียวจมูกงุ้ม เขาก็ได้ปรึกษาแพทย์เรียบร้อย แต่ยังไม่ได้มีการนัดหมายและวางมัดจำใดๆ ทั้งสิ้น แต่พี่ก็ไม่ได้ติดใจเพราะมีคนอื่นๆ ที่อยากจะไปเหมือนกัน"

"วันหนึ่งจู่ๆ ผู้จัดการบอกว่าน้องเขาจะไปแล้ว พี่ก็เลยทำการติดต่อที่เกาหลีให้หมดทุกอย่าง ก็บอกไฟท์ แต่น้องบอกขอไปเที่ยวก่อน 2 วันได้ไหม ให้พี่พาไปเที่ยวด้วยนะ เพราะอยากไปถ่ายรูป เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยไปเกาหลี ไม่เคยเห็นอะไรนอกจากผับบาร์ ซึ่งเราไม่มีปัญหา เราดูแลให้ทุกอย่าง จัดสรรหาข้าวน้ำ ดูแลสุดๆ"

"เวลาเราจะทำอะไรก็จะถามผู้ร่วมทางตลอดเวลา ว่าอยากไปอันนี้ไหม จะไปไหนไหม เพราะเขาเป็นลูกค้า ต้องถามก่อน ทุกครั้งที่ไปดิฉันจะมีจรรยาบรรณจะไม่บอกว่าเป็นใคร คุณเห็นไหมคะ ในไอจี ดิฉันโพสต์ว่าดิฉันไปพักกระบาล จะไม่มีรูปคู่เด็ดขาด ทุกคนจะพุ่งมาที่ดิฉันว่าดิฉันไปทำสวย ส่วนดาราที่ไปทำจะไม่ด่างพร้อย ไม่มีเล็ดลอดออกไปเด็ดขาด"

"นัดหมายกันไว้เรียบร้อย แต่พลาดไฟท์เดียวกับเราเพราะจองช้าไป เราเตือนทุกวันว่าจองหรือยังๆ เขาก็ครับๆ แต่สุดท้ายก็จองช้า ไม่ได้ไฟท์เดียวกัน น้องเลยไปถึงเที่ยวบินที่ถึงก่อนเรา 2 ชั่วโมง ต้องรอเรา น้องบอกได้ครับ"

"เวลาดิฉันไปดูแลใครมันจำเป็นมากเพราะทุกคนพื้นฐานคนละแบบ ดิฉันต้องศึกษาตลอดเวลาเพื่อที่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าถูกใจ อันนี้น้องเขาเป็นวัยรุ่น และมาคนเดียว เรายิ่งต้องดูแล เพราะรู้จักและสนิทกับผู้จัดการด้วย ซึ่งในตอนนั้นมันมีหลายหัวข้อที่เราคุยกัน บางทีการอยู่ในวงการมันจะมีพลาดต่างๆ เราก็สอน น้องเขาก็บอกว่า แม่กลับมาสิๆ ดิฉันก็บอก ไม่ได้ ไม่มีใครเรียกให้กลับมา น้องก็บอก แม่กลับมาได้แม่ทำช่องของตัวเอง ดิฉันเลยบอก หยุด ฟังก่อน อย่ากดดัน ดิฉันก็ไปจับที่แขนบอกให้หยุดก่อน"

"พอตอนค่ำ หลังจากไปเที่ยว สิ่งที่ดิฉันทำเสมอคือพาลูกค้าไปไหว้พระเพื่อขอพร ก็ถามว่าอยากไปไหนต่อหลังไหว้พระ เห็นว่าปกติไปแต่ผับเลยพาไปเดินเล่นเมียงดง และไปโซลทาวเวอร์ น้องก็ดีใจบอก ครับๆ หลังจากนั้นก็ชวนไปกินปู ร้านนี้อร่อยมาก หลายๆ คนที่เคยไปก็จะรู้ เราก็ถามน้องเอาไหม น้องบอกได้ครับ ชอบกินปู"

"ก่อนออกจากโรงแรม ดิฉันก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ ก็ต้องเช็คก่อนร้านปิด เพราะที่เกาหลีตอนนี้ร้านปิดเยอะมาก เงียบเหงา ซึ่งเราก็ให้โรงแรมโทรเช็คให้ แต่เราจะไปกินเร็วหน่อย เพราะว่ามันต้องมีการงดอาหาร 6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เราก็อธิบายให้น้องฟัง"

"ระหว่างที่นั่งดูวิว น้องเขาก็บอก เดี๋ยวเราแยกกันไหม เราก็บอกอ้าว ไม่ไปเมียงดงแล้วเหรอ น้องบอก เกรงใจแม่ เราก็พยายามเก็บข้อมูลแล้วว่า เขาวัยรุ่น เราแก่ คุยกันคนละภาษา เราก็บอกว่า ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวขาเดินลงไปจะมีที่ขายของให้เดินซื้อของ และมีที่พวกไกด์อยู่ แล้วเราไปรอตรงนั้น ส่วนน้องก็ไปของน้อง"

"ดิฉันก็รอไป 2-3 ชั่วโมง เราก็ไลน์ไปถามว่าช็อปหมดตลาดไหม เขาก็ส่งรูปมา 4-5 ถุง บอกว่าจะกลับแล้ว พอเขามาก็กินวาฟเฟิล เราก็ถาม ซื้ออะไรมาบ้าง เครื่องสำอางเยอะนะ หนักนะเนี่ย ถือไหวไหม อ้าวมีรองเท้าด้วยเหรอ เรากำลังจะไปภูฏานขึ้นเขาอยากได้รองเท้าเหมือนกัน เขาก็บอก เดี๋ยวพาไปมีร้านตรงนี้ พอตอนจะไป เราก็รู้สึกเขาหิ้วไม่ไหว นี่ถ้าเป็นเมืองไทยดิฉันรู้จักคนเยอะแยะเอาของไปฝากเขาได้ แต่ตอนนี้อยู่เกาหลีไม่รู้จะฝากของกับใคร"

"พอไปสักพักเราก็ถามรอบที่ 3 ว่าไหวไหม ของมันเยอะจริงๆ เขาบอกว่าไหว จนถึงร้านรองเท้า เราก็วางของกลัวจะเกะกะใคร พอเราซื้อเสร็จ กำลังจะยกของไปกินปู จู่ๆ เขาก็บอกว่า ไม่ไปกินปูแล้วนะ ดิฉันก็ตบแบบนี้ (ทำท่าตวัดมือ) แล้วพูดว่า อินี่จะบ้าเหรอ คือตอนนั้นเราทำตามแผนการทุกอย่าง และจองแล้ว ไม่ได้โมโห แต่มือไว"

"น้องเขาก็บอก ตบหน้าผมเลยเหรอ เราก็ตกใจ แล้วก็บอกแม่ขอโทษนะ เขาก็บอก ตบหน้าแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นผมด่าแล้วนะ เราก็บอก ตายแล้ว ขอโทษ แต่อย่าทำแบบนี้ จู่ๆ เปลี่ยนแผน ทั้งที่ดิฉันถาม 3 ครั้งแล้ว"

"เขาก็บอก ทำแบบนี้ไม่ได้ ผมโกรธมาก ปล่อยผมให้ผมอยู่คนเดียว ดิฉันก็ตายแล้วทำไงดี ขณะที่เขาเดินไป เห็นเขายืนหน้าถนน เราก็ยืนแทะข้าวโพดรอให้เขาเย็นลง พักใหญ่ ยังไม่ไปไหน เราก็ถือของอยู่แล้วเดินไปหาเขา ไปจับมือ แล้วบอก ขอโทษนะ เรื่องที่เกิดขึ้นคือตกใจ ขอโทษจริงๆ รู้สึกไม่ดี แต่น้องต้องเข้าใจนะ การจะอยู่ร่วมกันต้องเข้าหากันคนละครึ่ง มันไม่มีสัญญาณบอกเลยว่า จะไม่ไป

"ซึ่งเราก็พูดคุยสนิทกันพอสมควร แล้วน้องเขาบอก ได้ครับ เรื่องนี้ผมจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งผู้จัดการส่วนตัว เราก็ยังจับมือเขาอยู่ตลอด คุยกันเข้าใจ ประนีประนอมกัน เขาก็บอก จริงๆ ผมเคารพแม่มากนะครับ ที่สอนอะไรๆ หลายๆ อย่าง น้องก็เข้ามากอด ดิฉันก็คิดว่าจบ น้องก็บอกว่า ไปกินปูกันครับ ดิฉันก็ หืม (ยิ้ม) แต่ก็ไป"

"ตอนที่เราอยู่ในรถ เราก็พูดคุยเรื่องการทำงานกันหลายเรื่อง พอถึงร้านปู เรารู้จักกับเจ้าของร้านปูด้วย แม้จะใช้ภาษามือ ระหว่างนั้น น้องก็ถ่ายรูป เราก็ให้น้องช่วยถ่ายรูปเรากับห่อหมกให้หน่อย น้องก็ทำให้ จนเรากินปูเสร็จ น้องส่งภาพให้แม่ดู แม่บอกน่ากินจัง ต่อมาน้องบอก อยากกลับไปดูละคร จะกลับไปดูทันไหม เราก็บอกทัน พอไปถึงโรงแรม ดิฉันก็บอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน 11 โมงนะ ในใจก็คิดว่า เขาอาจจะไปเที่ยวกลางคืน แต่การผ่าตัดห้ามดื่มน้ำ ฉันกลัวจังเลยว่าเขาจะไปผับบาร์ไหม แต่ก็ไม่ได้ไปกวนเขา พอตอนเช้าเจอกัน เราก็ถาม เมื่อคืนไปไหนมาเปล่า ไม่ได้ไปดื่มน้ำมานะ"

ทั้งนี้ "ม้า อรนภา" เล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ ผ่านไปอย่างปกติ จนถึงวันผ่าตัดว่า

"พอเราจัดการเรียบร้อย ส่งเขาเข้าห้องผ่าตัด เขาก็แค่ทำจมูก เดินกลับได้ แต่รพ. ขับรถไปส่งให้ เขาบอก ผมอยากนอน คือเคสแบบนี้เขาไม่ได้ให้หลับต้องรู้ตัวตลอด ผ่าตัดเสร็จก็เลยให้เขาไปพักนอน แต่ตอนเย็นก็ชวนไปกินอาหาร ซึ่งในเคสน้องผู้ชาย ดิฉันจะไม่อยากเข้าไปห้องเขานะ ใช้การโทร แต่ถ้าเป็นน้องผู้หญิงจะเข้าไปดูแลได้ เราก็โทรถามอาการน้องว่าเป็นไงบ้าง และตอนเย็นจะไปกินอะไรไหม น้องเขาบอกไม่ไป เราก็เลยบอกให้เขาอย่าลืมกินยานะ ส่วนดิฉันก็ไปเอง"

"พอเช้าวันต่อ ดิฉันก็โทรไปถามว่ากินอะไรหรือยังเพราะต้องกินยานะ แล้วด้วยความเป็นห่วงเลยไปเคาะห้อง แล้วดูผลที่ทำมาด้วย น้องบอก เดี๋ยวๆ ครับผมโป้อยู่ เนี่ยเห็นไหม มันจะเป็นแบบนี้ จากนั้นเราก็บอกเขาว่า ต้องไปเดินนะ มันช่วยลดบวม ส่วนดิฉันก็ไปลั้นลากับคนอื่น พอตกกลางคืนก็ไลน์ถามเหมือนเดิม กินข้าวยัง กินยานะ ก็โทรเช้า-เย็น"

"จนกระทั่งวันที่ล้างแผล เราก็นัดกันว่าต้องไปล้างแผล ทางรพ. จะมีข้อมูลส่งมาให้ดิฉันเรื่องการนัดหมาย เราก็เดินไปด้วยกัน ยังถ่ายรูปกัน และดิฉันให้ช่วยถ่ายคลิปดิฉันขายห่อหมก เขาก็ถ่ายให้ ปกติทุกอย่าง"

"พอล้างแผล เราต้องอยู่กับลูกค้าตลอด เพื่อจะบอกว่าดูแลแผลยังไง จะมีล่ามคอยบอก เราก็บอกต้องห้ามพลาด จะได้หายไวๆ ตอนเดินออกจากรพ. เขาบอก วันที่ 29 เดี๋ยวเจอกันครับ วันตัดไหม เราก็ถามอีก จะไปไหน ก็ถามอีกก็เพราะว่าเป็นห่วงว่าจะกินอะไรยังไง"

"ต่อมาฉันไลน์หาผู้จัดการส่วนตัวน้อง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจมากขึ้น สุดท้ายมารู้ว่า ไม่ได้ดูแลกันแล้ว เราก็อ้าวเหรอ"

"วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันเข้าไปทำหน้า แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวส่งมาให้ดิฉันว่าทนายโพสต์ ผู้จัดการก็โทรหาฉันว่า รีบออกไปจากประเทศเดี๋ยวนี้ (หัวเราะ) ดิฉันก็ไม่รู้ เกิดอะไรขึ้น ไหนว่าจะไม่บอกใคร บอกถึงขั้นว่าจะไม่บอกผู้จัดการส่วนตัว แต่ผู้จัดการกลับโทรหาดิฉันว่าให้รีบออกจากเกาหลี (หัวเราะ)"

"จนทุกวันนี้ไม่ได้รับเรื่องการแจ้งความอะไร ถ้ามีจะเดินทางออกมาจากประเทศได้ยังไงคะ ส่วนภาพตำรวจที่จุดเกิดเหตุ ดิฉันสันนิษฐานว่าคงได้รับการบอกเล่ากับทนายว่าให้ทำแบบนี้ ถ้ามีการแจ้งความก็ต้องมีการขอกล้องวงจรปิดทางร้าน แล้วขอทราบชื่อคู่กรณี และหมายเลขพาสปอร์ต แต่ดิฉันอยู่มา 4-5 วันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น"

"ดิฉันเลยโทรหาเขา ไม่รับ เลยพิมพ์ไปถามว่า ทำไมต้องทำขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ลบข้อความเพราะอ่านแล้วไม่ตอบ"

"ตอนนั้นยังมีข่าวจากทนายว่า น้องย้ายโรงแรมไปแล้วเพราะกลัวดิฉันมาก คือดิฉันแก่ขนาดนี้นะ ถ้าน้องเขาฟาดมาดิฉันก็ล้มแล้ว"

"วันนั้นดิฉันเลยไปจัดการเรื่องที่ฟรอนต์ ว่ามีการเช็คเอาท์ไหม ก็ปกติ เพราะส่วนหนึ่งรพ. จัดให้ อีกส่วนเราต้องจ่ายเอง ดังนั้น คุณจะเดินออกไปเลยก็ได้ ทีนี้ ห้องเราอยู่ติดกับห้องนอน ก็เลยฟังว่ามีเสียงคนอยู่ไหม แต่ไม่ได้ไปเคาะประตูเพราะไม่อยากไปเกาะแกะเขา ปรากฎว่า ได้ยินเสียงในห้อง แต่สุดท้ายเป็นแม่บ้าน เขาไปแล้ว"

"คิดว่าน่าจะจบที่ริมถนน ที่เรายืนจับมือเขาขอโทษ แล้วเขาบอกจะไม่บอกใครแม้แต่ผู้จัดการส่วนตัว เคลียร์กันจบจนเขาเข้ามากอดดิฉันแล้วบอกไปกินปูกันนะ"

"มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่มีวาทะกัน แล้วมีพฤติกรรมให้เห็นกัน อย่าใช้คำว่าตบนะ มันเป็นการทำแบบนี้ (ทำท่า) เรียกว่าแตะ มันเป็นคนสองคน ไม่นึกว่าเขาจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปโพนทะนายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถามว่า มีความรู้สึกไหมก็มีอยู่แล้ว แต่ควบคุมได้อย่างมีสติ ถามว่าจะฟ้องไหม พี่ก็พูดไม่ได้ค่ะเพราะไม่ได้รู้เรื่องกฎหมายเท่าไหร"

"ระหว่างคำว่า ตบกับแตะ ของเรากับน้องคงไม่เหมือนกันเพราะผู้ชายเขาคงมีศักดิ์ศรีของเขา แต่มันเป็นแค่การสั่งสอนเด็ก นึกออกไหม"

ส่วนในทางกฎหมาย "ม้า อรนภา" เผยว่า ให้ทางสถานทูตเช็คที่สถานีตำรวจเมียงดง เขาบอกเหตุการณ์แบบนี้เยอะมาก ถามว่าเราต้องเสียค่าปรับไหม ไม่ได้เกิดเป็นคดีความ ไม่มีอะไรเลย เขาแค่ไปขอคลิปเท่านั้นเอง 

ม้า อรนภา

ม้า อรนภา

ม้า อรนภา

ม้า อรนภา

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส