วัดเตรียมรื้อ เรือนโบราณ สมัย ร.3 แจงงบซ่อม 10 ล้าน ใครค้านไม่ให้รื้อ ก็มาช่วยกัน

20 ก.ค. 65

ดราม่า! โซเชียลค้าน วัดเตรียมรื้อถอนเรือนโบราณสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอาวาสยันยังไม่มีการรื้อถอน หากจะอนุรักษ์ให้เข้ามาช่วยกัน ค่าบูรณะซ่อมแซม 10 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม2565ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากเหตุการณ์ที่ นายชัยณรงค์ ณ นคร เลขานุการกองทุนสามพระยาบริรักษ์ภูธร (อดีตเจ้าเมืองพังงา) ได้โพสต์ภาพเรือนโบราณ อายุกว่า 100ปี ที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดประชุมโยธี พระอารามหลวง ลงสื่อสังคมโซเชียลเฟซบุ๊กพร้อมกับบรรยายว่า

 

ความหดหู่ในหัวใจขึ้นไปบนเรือนของอดีตท่านคุณทวด ท่านเจ้าคุณอ้น ณ ถลาง ที่เป็นผู้สืบทอดมรดกมาจากเจ้าจอมยี่สุ่น เคยเป็นเจ้าเมืองภูเก็ตเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงยกย่องชมเชย เป็นผู้ที่มีพระคุณต่อวัดประชุมโยธีได้ถวายพระพุทธรูปรุ่นเชียงแสน อายุราว 1,000 ปีให้แก่วัดประชุมโยธี ตั้งชื่อพระพุทธรูปว่า "พระพุทธมงคลสำริดศากยมุนีศรีพังงา" เป็นพระประจำจังหวัดพังงาเป็นผู้อุปถัมภ์มาชั่วสายสกุลและสร้างวัดแห่งนี้ #เรือนหลังนี้ก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนหลายร้อยคนที่ได้มาพักอาศัยเรือนแห่งนี้ อีกไม่นานคำพูดของท่านเจ้าคุณอ้นที่กล่าวว่าห้ามขาย อย่าทุบเรือนเก็บไว้ให้ลูกหลานได้อาศัยจะเป็นจริงหรือไม่ รอผลตอบกลับในไม่ช้า”

 

และบอกเล่าว่า "เรือนหลังนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ผ่านถึงรัชกาลที่ 5 กล่าวกันว่าเป็นเรือนของท่านเจ้าจอมยี่สุ่นพระสนมในรัชกาลที่ 3 และเจ้าจอมเป้าผู้เป็นน้องสาวเป็นพระสนมรัชกาลที่ 4 และท่านทั้ง 2 เป็นผู้ร่วมกันสร้างวัดควนหรือวัดประชุมโยธีพระอารามหลวงในปัจจุบัน หลายคนที่ไม่ทราบเรื่องราวของเรือนหลังนี้ทำการลบหลู่ ปรากฏว่าเจอดีทุกรายแต่ถ้าเขารื้อได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นความประสงค์ของเจ้าเรือน แต่เมื่อขณะที่รื้อมีอาเพศก็รับกรรมกันเอาเอง"

 

ทำให้มีการแชร์ออกไปเป็นจำนวนมากทั้งในสื่อออนไลน์ต่างๆ และประชาชาชนทั่วไปพร้อมกับแสดงความคิดเห็นต่างๆ ว่าไม่เห็นด้วยหากหากวัดจะทำการรื้อถอน บางคนก็บอกว่าเป็นวิศวกรพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซม บางคนบอกว่าพร้อมจะสมทบทุนบูรณะซ่อมแซมเรียกว่าเป็นประเด็นดราม่ากันในพื้นที่จังหวัดพังงาและภูเก็ตกันในช่วงนี้

 

 เรือนโบราณ พังงา

 

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบเรือนโบราณหลังนี้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างวัดประชุมโยธี พระอารามหลวงเขตเทศบาลเมืองพังงา ซึ่งทางวัดได้จัดซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากภาคเอกชน พบว่ามีสภาพเป็นบ้านร้างลักษณะ 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีบันไดขึ้นชั้นบนทั้งซ้ายขวามีสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ทางวัดได้ติดป้ายชำรุดห้ามเข้าภายในตัวบ้านขณะที่พบว่ามีคนเข้ามาเยี่ยมชมถ่ายภาพกันเป็นระยะและบอกว่าอยากให้อนุรักษ์เรือนโบราณหลังนี้เอาไว้จะเสียดายมากมีการรื้อถอนออกไป

 

นายชัยณรงค์ ณ นคร เลขานุการกองทุนสามพระยาบริรักษ์ภูธร(อดีตเจ้าเมืองพังงา) เปิดเผยว่าเรือนโบราณหลังนี้เป็นของเจ้าจอมยี่สุ่น สมัยที่พระยาบริรักษ์ภูธรแสงมาปกครองเมืองพังงา จากนั้นก็ตกทอดมรดกมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลน จากการศึกษาดูข้อมูลแล้วบ้านหลังนี้มีอายุถึงเกือบ 200 ปีเมื่อได้ข่าวว่าทางวัดประชุมโยธีจะมีการรื้อถอนก็เห็นว่าเรือนหลังนี้เป็นแหล่งโบราณสถานแห่งหนึ่งที่มีอายุยาวนานการที่จะรื้อถอนโบราณสถานที่มีอายุมากกว่า 50 ปีนั้นจะต้องได้รับความชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน

 

ส่วนตัวเห็นว่าบ้านนี้เป็นบ้านที่มีความผูกพันกับคนพังงาจำนวนมาก เป็นบ้านที่มีความหมายต่อเมืองพังงา บ่งบอกถึงรากเหง้าของเมืองพังงาได้ดีที่สุดเป็นสมบัติจึงอยากให้ชาวพังงาเห็นคุณค่าของความเป็นอัตลักษณ์เป็นรากเหง้าของเมืองก็เลยอยากจะบอกพี่น้องชาวพังงาหรือว่าผู้ที่รักในเรื่องของสถาปัตยกรรมมาร่วมกันที่จะให้เรือนหลังนี้อยู่นานเท่านานได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพังงา

 

ด้านพระเทพปัญญาโมลี เจ้าอาวาสวัดประชุมโยธีพระอารามหลวงกล่าวว่าขอยืนยันว่ายังไม่มีการรื้อถอนในขณะนี้ โดยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ทางวัดประชุมโยธีได้ขยายพื้นที่โดยซื้อที่ดินเอกชนแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ของตระกูล ณ ถลาง โดยในพื้นที่แปลงนี้มีบ้านเก่าอยู่หลังหนึ่งทางวัดได้พัฒนาสร้างเสนาสนะบางอย่างก็ได้สร้างไปเกือบแล้วเสร็จแล้วและจะทำพัฒนาพื้นที่เพื่อเตรียมจัดสร้างเสนาสนะส่วนอื่นเพิ่มเติม และในวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมของคณะสงฆ์สัญจรของจังหวัดพังงาได้มีการทำพิธีสวดถอนพื้นที่เพื่อว่าในพื้นที่ที่ที่วัดซื้อมานั้น ในอดีตอาจจะมีอุโบสถเก่าหรือเจดีย์เก่าอยู่จึงได้ทำพิธีสวดถอนถึงบ้านหลังนี้ก็อยู่ในพื้นที่นี้ด้วยและเมื่อมีการสวดถอนก็ถือว่าเราได้ทำถูกต้องแล้ว เราจะสร้างเสนาสนะอย่างอื่นทำอย่างอื่นก็ทำได้โดยโดยกลัวว่าสิ่งที่ทำต่อไปในอนาคตอาจจะผิดพระวินัยก็เลยเป็นประเด็นว่าเมื่อทำพิธีสวดถอนคนก็ไปแปลผิดว่าพระจะทำการรื้อถอนบ้านหลังนี้ ซึ่งความจริงแล้วการจะรื้อถอนบ้านหลังนี้ ถ้าถามว่ามันก็มีสิทธิ์ทำได้เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่วัดอาจจะต้องพัฒนา แต่โดยความเป็นจริงไม่ใช่เพราะว่าจะต้องดูองค์ประกอบว่าบ้านนี้เป็นอย่างไร

 

โดยช่างผู้ชำนาญการทางวัดได้ประสานทางโยธาธิการและผังเมืองเข้ามาตรวจสอบดูแล้วว่าโครงสร้างของบ้านยังมีความแข็งแรงพอที่จะรองรับทำการบูรณะได้ไหม ถ้าหากทำได้ที่จะต้องช่วยกันว่าการซ่อมใครเป็นผู้รับผิดชอบมีเงินทุนหรืองบประมาณส่วนไหนอย่างไร ทางกรมศิลปากรโดยผู้อำนวยการที่นครศรีธรรมราชได้เคยเข้ามาตรวจสอบแล้ว บอกว่าจะต้องใช้งบบูรณะไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเกินกำลังของวัดที่จะบูรณะซ่อมแซม

 

ถ้าหากว่าหาญาติโยมท่านใดเห็นควรที่จะอนุรักษ์เหมือนที่กล่าวในโซเชียล ก็ขอให้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันสละทรัพย์เพราะว่างบประมาณคงไม่น้อย บางคนที่บอกว่ามีวิศวะรับรองไม่กี่ตังค์ก็ให้เข้ามาช่วยกันได้เลยและทราบว่าทางจังหวัดพังงาได้ตั้งคณะกรรมการ

 

เรือนโบราณ

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส