คืบหน้ากรณี นายสันติ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีฆ่า 3 ชีวิตคนไทยในไต้หวันอย่างโหดเหี้ยม นายประเสริฐ กับภรรยา นางสาวพจนีย์ และทารกในครรภ์ ซึ่งเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 65 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับแล้วในคดีความผิดต่อชีวิต ตามกฎหมายอาญา มาตรา 8 (ก) ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร และผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษฯ เนื่องจากก่อเหตุเสร็จได้หลบหนีเข้ามาในไทย
วันที่ 16 มิ.ย. 65 เข้าสู่วันที่ 7 ที่เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนเร่งตามล่าตัว ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามจับกุมว่า ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่นายสันติยังอยู่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวเพียงคนเดียว
มีการประสานจากบุคคลใกล้ชิดนายสันติ เพื่อขอเข้ามอบตัว เพราะรู้สึกผิด ซึ่งยืนยันว่าคนกลางดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้พูดคุยกับนายสันติโดยตรง รวมถึงยังไม่มีการนัดหมายวันและเวลาในการเข้ามอบตัว แต่ได้มีการแจ้งว่าให้เข้ามอบตัวเร็วที่สุด ทั้งนี้ ในทางคดีสามารถดำเนินการตามกฎหมายไทยได้ ตามหลักข้อกฎหมายอาญา มาตรา 8 (ก) "ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร และ ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษฯ"
โดยคลิปเสียง 16 นาทีที่ "นายสันติ" อ้างกับชายคนสนิท อ. ถูกคู่กรณีทางธุรกิจสีดำของนางพจนีย์ บีบบังคับให้รับผิดชอบจำนวนเงินเกือบ 10 ล้านบาทแทน ก่อนถูกสั่งให้ปิดปาก หลังรู้ว่าทั้งคู่จะถูกฆ่า และถูกบังคับให้อยู่ในเหตุการณ์เพื่อโดนดำเนินคดีด้วย
นายยิ่งยศ แซ่หลี่ อายุ 38 ปี พี่ชายของนางสาวพจนีย์ ผู้เสียชีวิต บอกว่า จากคลิปเสียงที่นายสันติ ผู้ก่อเหตุ ได้มีการสนทนากับ นาย อ. ชายคนสนิทผู้ก่อเหตุ มีเนื้อหาในเรื่องของหนี้สินเป็นจำนวนเงินหลายล้านที่ไปพัวพันกับธุรกิจมืด กล่าวหาว่าน้องสาวตนเป็นผู้บงการเอาเงินไปทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งประมาณครึ่งเดือนก่อนเกิดเหตุ น้องสาวของตนโทรศัพท์มาสอบถามว่าอยากทำงานที่ท่าขี้เหล็กหรือไม่ ซึ่งนายสันติได้พูดคุยผ่านโทรศัพท์ของน้องสาวกับตนว่าเป็นงานธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ ให้เงินเดือน 30,000 กว่าบาท ซึ่งตอนนั้นตนได้มีการปฏิเสธ และมีการตำหนิรวมถึงเตือนน้องสาวว่าอย่าไปยุ่งกับธุรกิจแบบนี้ แต่นายสันติ ผู้ก่อเหตุ ก็คงลืมไปว่าเคยคุยกับตน เลยไปเผลอพูดกับคนอื่น
ส่วนประเด็นเรื่องกู้ยืมเงิน น้องสาวของตนมีการปล่อยเงินกู้จริง แต่ส่วนใหญ่ปล่อยให้ลูกน้องในร้าน และจำนวนไม่มาก เพราะถ้ามีการนำเงินจำนวนมากไปปล่อยเงินกู้ น้องสาวตนก็คงไม่ต้องมาทำงานขายของ ขายข้าวแกงให้ลำบาก ยืนยันน้องสาวอาชีพสุจริต คนรอบตัวต่างก็ทราบดีกันหมด
ส่วนเรื่องจำนวนเงินที่มีการพูดถึงเป็นจำนวนหลักสิบล้าน แล้วมีการอ้างว่าน้องสาวตนเป็นคนรอให้เกิดเรื่อง ใส่ความให้สันติซวยแทนนั้น ตนเชื่อว่านายสันติเป็นก่อเหตุเอง เป็นหนี้มากกว่า แต่กำลังเอาอุบายนี้มาอ้างให้ตัวเองพ้นผิด เรื่องการอ้างว่าถูกคนข่มขู่ปาดคอบังคับให้ทำก็คงจะจริง ถ้านายสันติไปก่อหนี้ก้อนโตขนาดนั้นใครจะปล่อยไว้ แต่อยากให้มองอีกมุมว่าถ้าคุณเป็นเจ้าหนี้ อันดับแรกคุณจะไปทวงหนี้กับลูกหนี้โดยตรง หรือจะไปคุยกับคนค้ำประกันก่อน ถ้าจะฆ่าทิ้งจริง ทำไมต้องฆ่าตัวประกันก่อน ฆ่าคนยื้มไม่ดีกว่าหรือ
การที่นายสันติ ผู้ก่อเหตุ อ้างไม่รู้จักคนที่มาทวงเงินมันก็รู้สึกแปลก ๆ ถ้าไม่รู้จักแล้วจะเอาเงินบางส่วนไปคืนเขาได้อย่างไร และมองว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่น่าสงสัย คือน้องสาวตน เป็นคนที่ช่วยเหลือนายสันติมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้อาจไม่ได้มีการช่วยเหลือ เพราะนายสันติ ยังคงมีหนี้สินติดค้างกับน้องสาวของตน ก็อาจจะเป็นชนวนของการฆ่าล้างหนี้ตัวเองก็เป็นไปได้เหมือนกัน
ส่วนคำว่า "ของ" ในความหมายที่ชาวบ้านเข้าใจง่าย ๆ คือของผิดกฎหมาย ถ้าของถูกกฎหมายก็คงพูดออกมาในคลิปเสียงอยู่แล้วว่า ของที่กำลังพูดถึงมันคืออะไร ตนก็เชื่อว่านี่กำลังพยายามใส่ร้ายให้สิ้นสงสัยสาเหตุ และบุคคลอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวอ้างมา ยืนยันไม่รู้จักใครทั้งนั้น ส่วนการหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ตนก็เชื่อว่ามีคนให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอน ล่าสุดพอมีรายงานว่านายสันติ ผู้ก่อเหตุ พยายามติดต่อขอมอบตัวกับ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ตนก็ถือว่าเป็นข่าวดี ที่จะสามารถนำตัวตนก่อเหตุมาดำเนินตามกฎหมายได้ ตนก็อยากถามเหมือนกันว่าแบบนี้ทำไม
พลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับความคืบหน้าของนายสันติว่า ล่าสุดตอนนี้คนใกล้ชิดของนายสันติ ได้ติดต่อให้ข้อมูลกับตำรวจแล้ว สามารถติดต่อนายสันติได้แล้ว โดยยืนยันว่ายังอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่
