จากกรณีสาวโพสต์ เตือนภัยป่วยทอนซิลอักเสบ แต่หมอคลินิกย่านรามคำแหง สั่งถอดกางเกงฉีดยา และลวนลามกลางห้องตรวจ โดยทีมข่าวได้รับคลิปวิดีโอความยาว 0.21 นาที จับภาพขณะที่หมอกำลังจะฉีดยา กระทั่งหมอเริ่มฉีดยา ผู้เสียหายได้เลิกถ่าย เพราะเกรงว่าจะรบกวนหมอ
วันที่ 7 พฤษภาคม 2565 ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านพักแห่งหนึ่งในย่านรามคำแหง กรุงเทพมหานคร เพื่อพูดคุยกับ นางสาวสายฝน (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เผยว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ตนมีอาการป่วยเป็นทอมซิลอักเสบ เลยจะไปหาหมอที่โรงพยาบาล แต่ตอนที่ไปนั้น หมอไม่ได้เข้าเวร ตนเลยตัดสินใจมารักษาที่คลินิกแถวบ้าน ขณะที่มาถึงนั้น เจ้าหน้าที่ให้ตนรออยู่ที่หน้าคลินิกก่อน เพื่อตรวจเอทีเค ก่อนจะเข้าไปรับการรักษาด้วยการฉีดยา
โดยขณะที่เข้าไปในห้องตรวจ มีหมอผู้ชายอยู่เพียงคนเดียว หลังจากที่หมอตรวจอาการได้บอกให้ตนถอดกางเกงออก เพื่อจะฉีดยาที่ก้น ส่วนตัวไม่อยากฉีดยาบริเวณนั้น เพราะปกติตนจะฉีดยาที่ข้อพับแขน หมอเลยอธิบายว่าหากฉีดยาที่ข้อพับแขนนั้นจะฉีดบริเวณเส้นเลือดใหญ่ ซึ่งแปลว่าอาการหนัก แต่ครั้งนี้อาการไม่ได้หนักมาก เลยแนะนำให้ฉีดขาบริเวณก้น ด้วยเหตุนี้ตนเลยไม่ได้เอะใจ และถอดกางเกงให้
ก่อนที่จะฉีดยา หมอได้บอกให้ตนขยับตัวเข้าไปหาหมอที่ยืนอยู่ข้างกำแพง ประมาณ 3-4 ครั้ง ส่วนตัวก็รู้สึกเอะใจว่าจะให้ขยับอะไรนักหนา แต่ก็ยอมขยับให้เพื่อที่จะให้หมอทำงานได้สะดวก จนกระทั่งหมอเริ่มฉีดยาได้ใช้นิ้วนวดไปมาบริเวณก้น และระหว่างที่ฉีดยานั้น ตนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเด้งมาสัมผัสอยู่ที่บริเวณข้างขา คล้ายกับนำอวัยวะเพศมาถูไถตลอดเวลา จนฉีดยาเสร็จหมอก็ยังไม่ได้ผละออกไปทันที และเดินไปนวดที่ฝ่าเท้า แล้วหลังจากนั้นก็พูดจาปกติ เหมือนหมอทั่วไปที่แนะนำคนไข้ ด้วยความช็อกและตกใจ ตนเลยไม่ได้โวยวาย ออกไปจ่ายค่ารักษาก่อนกลับบ้านทันที
ต่อมาตนได้ตัดสินใจโพสต์เรื่องราวลงในโซเชียลฯ เพื่อเตือนภัยให้กับคนรอบข้าง จนผู้เสียหายรายอื่นเริ่มส่งข้อความมาเล่าประสบการณ์ที่เคยถูกหมอคนเดียวกันกระทำ ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะเป็นผู้หญิง อายุประมาณ 15-40 ปี จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทยสภาเข้ามาตรวจสอบ เพราะการกระทำของหมอนั้น ทำให้คนไข้เกิดความไม่สบายใจ และตนเกรงว่า จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
เพจเฟซบุ๊ก "หมอแล็บแพนด้า" โพสต์ข้อความระบุว่า "ตอนนี้มีผู้เสียหาย 3 รายติดต่อมา กรณีหมอให้ถอดกางเกงแล้วเอาอวัยวะเพศมาถู ปรากฎว่าโดนคลินิกเดียวกันทั้งหมดครับ"
เพจเฟซบุ๊ก "อีซ้อขยี้ข่าว" โพสต์ข้อความระบุว่า "อยากดูหน้าหมอที่ใช้ปากเป่าซอกคอคนไข้และใช้-ดันก้นเวลาตรวจสาวๆ กันมั๊ยมึง ?"
น.ส.เอ ผู้เสียหาย อายุ 32 ปี เปิดใจผ่านทางโทรศัพท์ เล่าว่า เมื่อปีที่แล้วตนเองมีอาการปวดขาและเข้าไปรับการรักษา โดยเป็นครั้งแรกที่ไปคนเดียว เพราะก่อนหน้านี้จะไปรักษาพร้อมครอบครัว โดยเมื่อไปถึงนายแพทย์คนดังกล่าวก็เริ่มนวดขา โดยให้ตนเองนอนหงานชิดขอบเตียง จากนั้นก็ดัดขาข้างขวาตนเองขึ้น ทำให้ชุดกระโปรงเดรสที่ตนเองสวมใส่อยู่เลิกขึ้นมาในลักษณะโป๊
จากนั้นเป้าของหมอคนดังกล่าวก็แนบบริเวณเป้าตนเอง ทำให้ตนเองตกใจมาก แต่พยายามคิดว่าเป็นท่าทางการนวดรักษา อีกทั้งนายแพทย์คนนี้ก็รักษาตนเองมาตั้งแต่มัธยมปลายจนถึงปัจจุบัน ไม่คิดว่ากระทำการลวนลาม โดยนายแพทย์คนนี้อยู่ในท่าทางล่อแหลมลักษณะนี้นานกว่า 5 นาที หลังรักษาเสร็จก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนเองได้ไปปรึกษาทนาย ครอบครัว และเพื่อนแล้ว เห็นว่าไม่มีหลักฐานมากพอ จึงไม่ได้แจ้งความในขณะนั้น แต่ก็ไม่ไปรักษากับแพทย์รายนี้อีกเลย
วันนี้เห็นข่าวของผู้เสียหายอีกรายว่าถูกกระทำลักษณะเดียวกัน จึงเริ่มมั่นใจว่าเป็นการลวนลามจริง ๆ โดยทราบว่าทางผู้เสียหายรายแรกมีคนที่ถูกลวนลามลักษณะนี้แล้วรวม 8 คน ขณะที่ทางเพจหมอแล็บแพนด้า ก็มีผู้เสียหายแจ้งไป 4 คน ทั้งนี้ ตนเองพร้อมจะให้การเป็นพยานกับพฤติกรรมของแพทย์ เพราะมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอันตรายต่อผู้หญิง และไม่สมควรที่จะนำวิชาชีพแพทย์มากระทำลักษณะนี้
ทีมข่าวได้โทรสอบถาม นางสาวเกรช (นามสมมติ) อายุ 29 ปี ผู้เสียหายรายที่ 3 เผยว่า เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ขณะที่ตนอายุได้ประมาณ 25 ปี ตนมีอาการปวดหลัง จึงมาหาหมอ ขณะที่เข้าไปตรวจนั้น มีหมออยู่ในห้องเพียงคนเดียว และหมอได้บอกให้ตนขึ้นไปนอนบนเตียงในท่านอนคว่ำหน้า โก่งสะโพก
ส่วนหมอได้เดินทางมาที่บริเวณด้านหลังชองตน และใช้มือนวดไปมาบริเวณแผ่นหลัง และเอว ระหว่างที่นวดนั้น ตนรู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่บริเวณก้นอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยความตกใจ ตนจึงไม่กล้าพูดออกไป
กระทั่งมาเห็นจากโพสต์ของผู้เสียหายรายล่าสุด ตนจึงทราบว่า ไม่ใช่แค่ตนคนเดียวที่โดน และยังไม่มีอีกหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ ทั้งนี้ ตนอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะในมุมมองของคนเป็นเหยื่อ ถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายปี ตนก็ยังจดจำเรื่องราวได้ และเรื่องที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นบาดแผลในใจแล้ว
เวลาประมาณ 15.00 น. ระหว่างที่ลงพื้นที่นั้น คลินิกดังกล่าวยังคงเปิดทำการอยู่ ทีมข่าวพยายามจะเข้าไปสอบถาม แต่ทันทีที่พนักงานหน้าเคาต์เตอร์เห็นทีมข่าวก็เดินหนีไปที่หลังร้านทันที ต่อมา เวลาประมาณ 16.00 น. ทีมข่าวได้ย้อนกลับมาที่คลินิกดังกล่าวอีกครั้ง พบว่าหน้าคลินิกได้ปิดไฟแล้ว และจากการสอบถามชาวบ้าน ให้ข้อมูลว่าปกติเวลานี้เจ้าหน้าที่จะกลับบ้านแล้ว
ทั้งนี้ ประตูทางเข้านั้นคลินิกนั้น ครั้งแรกที่ทีมข่าวเดินทางมาถึง พบว่ายังมีเบอร์โทรติดไว้อยู่ แต่ครั้งที่ 2 ที่มานั้นพบว่ากระดาษที่เขียนเบอร์โทรนั้นได้หายไปแล้ว
ระหว่างที่ทีมข่าวอยู่หน้าร้านนั้น ได้พยายามติดต่อหมอเจ้าของคลินิก ผู้ถูกกล่าวหา หมอได้รับสายโทรศัพท์ ได้ยินเสียงทีมข่าวก็วางสายไปทันที เมื่อโทรไปหาอีกครั้งก็ถูกตัดสายทิ้ง
