จากกรณีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี หลังมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ที่ก่อเหตุ ล่อลวงหญิงสาวผู้เสียหายหลายรายไปข่มขืนและกระทำอนาจาร
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ถ้าเป็นแฟนคลับที่ติดตามผมมาตลอด จะรู้ดีว่า เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ที่เป็นประเด็นร้อนในสังคม ผมจัดหนักหมด ลูกความหรือชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือจะยากดีมีจน คู่กรณีจะเป็นตาสีตาสายันผบ.ตร. ถ้าคดีมันพอมีมูลหลังจากตรวจสอบแล้ว ผมจัดหนักจัดเต็มเสมอ บางครั้งถึงขั้นโดนหมายจับแบบฉุกเฉินเพราะไปขัดแข้งขัดขาใคร เพราะเชื่อว่า ถ้ามีใครสักคนที่มีปากมีเสียงในสังคม ได้พูดแทนคนเหล่านี้ มันคือเรื่องที่สมควรทำ ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเป็นข่าวบ่อยครั้งเพราะจับแต่เรื่องใหญ่ๆ ไม่มีสักเรื่องที่ทำเพื่อตัวเอง เพราะบ้านเมืองมันเป็นแบบนี้ ที่มีความเหลื่อมล้ำในเรื่องฐานะและเรื่องเพศ และผมสัญญา จะสู้แบบนี้จนวันสุดท้ายของชีวิต ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันและยังอยู่เคียงข้างกันถึงแม้หลายครั้งผมจะถูกดิสเครดิต ใส่ร้าย ต้องสู้คดีกันหลายปีจนพ้นมลทิล"
วันที่ 19 เม.ย. 65 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เปิดเผยว่า กรณีผู้เสียหายถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งกระทำอนาจาร ผู้เสียหายที่ไปแจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด 14 ราย มีบางรายที่เกิดเหตุอกราชอาณาจักร และคดีขาดอายุความไปแล้วมาเป็นพยาน 2 ราย เป็นการดำเนินคดีทั้งหมด 12 ราย ในส่วนของผู้เสียหายบางรายกังวลว่าจะมีคนรู้ว่าตนเองเป็นใคร เกรงว่าผู้ต้องหาทราบแล้วจะใช้อิทธิพลในการข่มขู่คุกคาม ซึ่งผู้เสียหายทุกรายยินดีให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน แต่ในส่วนการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน บางรายยังไม่พร้อม ซึ่งเป็นเหตุผลของครอบครัว
ในส่วนของคดีโดยเฉพาะเคสแรกซึ่งเป็นเด็กอายุ 18 ปี ค่อนข้างมั่นใจ เรื่องพยานหลักฐาน ส่วนเคสที่เกิดมานานหลักฐานเลื่อนหายไปตามกาลเวลา และมีอีกเคสที่เคยแจ้งความในวันเกิดเหตุ แต่เรื่องเงียบไป ก็มาติดตามความคืบหน้าของคดี มั่นใจว่าสามารถเอาผิดได้
ส่วนตัวไม่กังวลในเรื่องการทำคดี ที่ผ่านมาทำคดีหนัก ๆ มาตลอดหลายคดี เช่น แฉเรื่องคลิปหวยคดีผู้กำกับโจ้ ตำรวจอุ้มรีดทรัพย์ และล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต ไม่ได้กังวลคดีใดเป็นพิเศษ ตอนนี้ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ว่ามาจากเรื่องไหนที่ทำคดีในรอบ 1–2 เดือน เป็นคดีใหญ่ทั้งนั้น ส่วนคนที่เปิดเผยบางคนก็ลาออก บางคนก็ติดคุกไปแล้วบ้าง
วิถีชีวิตความเป็นทนายในตอนนี้ต้องระวังมากขึ้น พยายามไม่ออกกลางคืน หากจะไปก็จะชวนเพื่อนทนายเป็นไปเพื่อน ซึ่งไม่ได้บอดี้การ์ด สำหรับการทำคดีต่าง ๆ ตนเองมีเพื่อนทนายที่เป็นเครือข่าย เช่น ทนายเจมส์ ทนายเกิดผล ทนายรณรงค์ ทนายเกิดผล ทนายรัชพล ทนายอาคม ทุกคนพร้อมยื่นมือเข้าช่วย
รู้สึกดีใจที่ตนเองสามารถทำงานในฐานะทนายประชาชนทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่รู้ว่าอนาคตจะถูกเล่นงานหรือถูกโจมตีอะไรบ้าง แต่คิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ด้านนางสาวสิบหก (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เปิดใจผ่านโทรศัพท์ว่า ตนรู้จักกับอดีตนักการเมืองเมื่อปี 2558 ตนอายุ 25 ปี แต่ก่อนทำงานอยู่แถวถนนวิทยุ เดินผ่านตึกที่ผู้ก่อเหตุทำงานพอดี นักการเมืองท่านนี้เดินเข้ามาทักทาย สอบถามว่าทำงานที่ไหน อย่างไร ซึ่งพูดคุยเรื่องงาน บอกว่าสนใจจะจ้างทำงาน โดยจะให้ไปคุยรายละเอียดกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท ซึ่งบรรยากาศเป็นร้านอาหารที่มีบาร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นักการเมืองท่านนี้สอบถามว่าอยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ขณะนั้นตนมีประจำเดือนจึงไม่อยากดื่ม แต่นักการเมืองท่านนี้ ได้มีการสั่งเครื่องดื่มมาให้ตนเป็นลักษณะค็อกเทล ส่วนโต๊ะที่นั่งเป็นเบาะโซฟา ลักษณะครึ่งวงกลม โดยตอนแรกก็มีการพูดคุยถึงเรื่องงานที่จะจ้าง แต่นักการเมืองท่านนี้มีพฤติการณ์ใช้มือโอบ ลูบไล้ตามร่างกาย แล้วพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวว่ามีแฟนหรือไม่ เคยมีเซ็กซ์หรือไม่ จากนั้นเอามือล้วงเข้าไปในกระโปรงของตน ทำให้ตนรู้สึกตกใจ และขยับที่นั่งออกจากนักการเมืองท่านนี้ ซึ่งมีการชักชวนให้ไปดื่มกันต่อ แต่ตนปฏิเสธ
ผ่านไปประมาณ 2 วัน นักการเมืองท่านนี้อ้างว่ามีการจัดสัมมนาที่โรงแรมใจกลางเมือง อยากให้ตนมาพูดคุยถึงการจ้างงาน ซึ่งลักษณะงานของตนเดิมทีก็ต้องมีการเข้าไปพูดคุยกับผู้จ้างอยู่แล้ว และมองว่าล็อบบี้ที่โรงแรมก็น่าจะมีผู้คนอยู่หลายคน จึงตัดสินใจเดินทางไปพบเจอ แต่ในระหว่างที่เดินทางไป นักการเมืองท่านนี้อ้างว่าจะต้องไปดูสถานที่อีกโรงแรมหนึ่ง ไม่ไกลจากที่จัดสัมมนา ซึ่งตนก็ไม่เคยไปโรงแรมที่นั่น ก็เลยอยากไปดูสภาพแวดล้อมของโรงแรมและลักษณะของห้องพัก เผื่อจะเป็นตัวเลือกให้กับเจ้านายในการจัดอีเวนต์ สัมนาต่าง ๆ เพราะโดยปกติแล้วการดูห้องพัก จะต้องมีเซลส์อยู่ด้วย
พอไปถึงโรงแรมก็มีการขึ้นไปดูห้องพักกับเซลส์ผู้หญิงอีกคน เซลล์ได้มีการพูดคุยถึงรายละเอียดห้องพักกับนักการเมืองท่านนี้ ส่วนตนมีการเดินสำรวจภายในห้องพัก มีการเดินไปถ่ายรูปบริเวณหน้าต่างของห้องพักซึ่งจะเห็นวิวด้านล่าง ยอมรับว่าตอนนั้นไม่ทันระวัง และไม่ทราบว่าเซลส์ผู้หญิงคนนั้นออกไปจากห้องตอนไหน แล้วนักการเมืองเข้ามาสวมกอดจากข้างหลังตน เอาตัวไปแนบชิด จนลิปสติกที่ปากของตนเปื้อนเสื้อนักการเมือง ตนรู้สึกตกใจมากจึงมีการขัดขืน แต่ไม่สามารถสู้กำลังของนักการเมืองได้ ถูกลากไปที่โซฟาของห้อง พยายามถอดชุดที่ตนใส่ แต่ชุดของตนถอดยาก นักการเมืองท่านนี้ก็ใช้วิธีการถกชุดขึ้น แล้วก็กระทำการข่มขืนกระทำชำเรา
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ นักการเมืองท่านนี้ก็อ้างว่าจะต้องไปทำงานต่อ ตนก็รีบแต่งตัว แล้วรีบออกจากที่เกิดเหตุด้วยความหวาดกลัว หลังจากนั้นผ่านไป 3 วัน นักการเมืองท่านนี้ติดต่อตนมา ตนพยายามถามถึงสาเหตุการทำเช่นนี้ แต่นักการเมืองท่านนี้ไม่ตอบ และขาดการติดต่อไปในที่สุด ตนเก็บเรื่องราวความทุกข์นี้ไว้นานกว่า 7 ปี ไม่สามารถบอกใครได้ เพิ่งจะมาเล่าให้แฟนและเพื่อนสนิทฟัง ปัจจุบันครอบครัวก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ล่าสุดพอเห็นข่าวว่านักการเมืองท่านนี้ก่อเหตุกระทำชำเราหญิงสาวก็รู้สึกตกใจ เพราะไม่คิดว่ายังคงมีนิสัยแบบนี้ ส่วนตัวก็อยากถามนักการเมืองท่านนี้ว่ารู้สึกผิดหรือไม่ ที่ทำให้ชีวิตของผู้หญิงอีกหลายคนจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน ขณะที่เจ้าตัวก็มีหน้าตาในสังคม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แม้ว่านักการเมืองท่านนี้จะได้รับการประกันตัวไปครั้งล่าสุด ตนยังมีความเชื่อในกระบวนการยุติธรรมว่านักการเมืองท่านนี้เห็นสมควรจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างสูงสุด เพราะถ้าเอามาเทียบกันแล้ว ไม่สามารถชดเชยรอยแผลในชีวิตได้เลย ตนอยากให้ผู้เสียหายรายอื่น ออกมาแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาแจ้งความ ช่วยผลักดันให้คนก่อเหตุได้รับโทษที่สมควรจะได้รับ
