ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ชายพิการกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย เผยถูกภรรยาทำร้ายร่างกายเเละจิตใจ บังคับให้ขอทาน พาชายอื่นมาทุบตี กู้ภัยช่วยเหลือพาส่งบ้านที่ต่างจังหวัด พบความเป็นอยู่แสนรันทด ครอบครัว 6 ชีวิต บ้านถูกตัดไฟ 5 เดือน พ่อวัยชราป่วยติดเตียงนั้น
ความคืบหน้ากรณีช่วยเหลือชายพิการ ถอดขาเทียมกระโดดสะพานพระราม 4 ล่าสุดวันที่ 11 เม.ย.65 ทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของ นายจักรพงศ์ สุพรรณคง หรือ ต้น อายุ 38 ปี ชายพิการคนดังกล่าว อยู่ในพื้นที่ ต.สนามคลี อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี สภาพเป็นบ้านปูนชั้นเดียว
โดยบ้านถูกตัดไฟฟ้ามานานกว่า 5 เดือน ในบ้านมีผู้อาศัยอีก 6 ชีวิต ประกอบด้วยพ่อของนายจักรพงศ์ อายุ 62 ปี เป็นผู้ป่วยติดเตียง พี่สาวของนายจักรพงศ์ อายุ 41 ปี อาชีพรับจ้างเย็บผ้า พี่เขยของนายจักรพงศ์ มีอาชีพรับจ้างรายวัน และหลานของนายจักรพงศ์อีก 3 คน มีหลานสาว อายุ 11 ปี กับ 10 ปี และหลานชาย อายุ 8 ปี มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก
นายจักรพงศ์ เปิดเผยว่า ตนเองพิการ ไม่มีขาขวามาตั้งเเต่กำเนิด นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีโรคประจำตัวเป็นโรคเก๊าท์ มีรายได้จากการร้องเพลงเปิดหมวกและนั่งขอทานย่านปากเกร็ด ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตนคิดจะฆ่าตัวตาย เกิดจากที่ถูกภรรยาวัย 58 ปี ซึ่งอยู่กินกันมา 3 ปี ทำร้ายบ่อยครั้ง ทำร้ายทั้งร่างกายเเละจิตใจ ทุกครั้งที่ออกไปนั่งขอทานหรือร้องเพลง จะมีภรรยาคอยไปนั่งเฝ้าอยู่ห่าง ๆ พอมีคนใจบุญให้เงินมา ภรรยาก็จะเดินมาเก็บไป โดยทำแบบนี้ทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
หลังกลับเข้าห้องภรรยาจะแบ่งเงินที่ได้มาคนละครึ่ง และจะให้ตนเองอยู่แต่ในห้อง ส่วนภรรยาจะออกไปกินเหล้า หรือไปหาชายอื่น โดยทุกครั้งจะล็อกห้องไว้หรือนำขาเทียมตนไปด้วย เพราะกลัวตนจะหลบหนี และบางครั้งหากรายได้ไม่เพียงพอ จะมีการโต้เถียงกัน ภรรยาจะทำร้ายร่างกายตน บางครั้งก็นำชายอื่นมาทำร้ายร่างกายตนด้วย ตนเองอยู่ในสภาพนี้มา 3 ปี อึดอัดมาก อีกทั้งภรรยายังยึดโทรศัพท์มือถือของตน ไม่ให้มีการติดต่อกับครัวที่ จ.สุพรรณบุรี
นอกจากนี้ ตนเองพยายามจะขออย่า แต่ทางภรรยาไม่ยอม โดยยื่นข้อเสนอว่าให้ตนขายที่ดิน 1 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินมรดกของพ่อ แล้วเอาเงินไปให้เขา เขาจึงจะยอมเซ็นใบหย่าให้ แต่ตนไม่ทำ ด้วยความทุกข์ใจดังกล่าว จึงตัดสินใจหนีปัญหาและความทุกข์ทรมาน โดยมาที่สะพานพระราม 4 ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งเเรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีคนช่วยไว้ได้ หลังจากนั้นชีวิตก็ตกอยู่ในสภาพเดิมอีก จึงตัดสินในกลับมากระโดดสะพานอีกครั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ก็มีคนช่วยเหลือไว้ได้อีก
ซึ่งหลังจากที่ได้กลับบ้าน ก็รู้สึกดีใจมาก เหมือนได้ชีวิตใหม่ ขอบคุณทุกคนที่ให้การช่วยเหลือ หากย้อนเวลากลับไปได้ตนจะไม่ฆ่าตัวตาย ชีวิตหลังจากนี้ขออยู่ดูแลพ่อ สิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือคือข้าวสาร อาหาร ไฟฟ้า และผ้าอ้อมให้พ่อ "ถ้าภรรยาดูข่าวอยู่ ผมอยากบอกว่าปล่อยผมไปเถอะ ขอร้องให้มาเซ็นต์ใบหย่าให้ด้วย จะได้เริ่มชีวิตใหม่ เพราะผมคนเดิมมันได้ตายไปเเล้ว ไม่ขอกลับไปอยู่กับภรรยาอีกเเล้ว"
สำหรับชีวิตหลังจากนี้ตนยังไม่ทราบว่าจะหากินอย่างไร เพราะตนร่างกายพิการ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือร้องเพลง แต่ลำโพงกับไมค์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้หากินมาโดยตลอด ตอนนี้อยู่กับภรรยา ตนกลับมาบ้านตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ภรรยาก็ยึดไว้
ทางด้าน น.ส.ณัชปภา สุพรรณคง อายุ 41 ปี พี่สาวของนายจักรพงศ์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาชีวิตครอบครัวลำบากมาก จากเดิมตนเคยมีอาชีพเย็บผ้า เป็นรายได้หลักที่ใช้เลี้ยงครอบครัว แต่หลังจากบ้านถูกตัดไฟ ก็ไม่สามารถเย็บผ้าได้ เพราะเครื่องจักรต้องใช้ไฟฟ้า ตนเองกับสามีต้องตระเวนทำงานรับจ้างวันละ 300 บาท เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนน้องชายหลังจากไปอยู่ที่ จ.นนทบุรี ตนก็ไม่ทราบข่าวคราวอีกเลย เนื่องจากภรรยายึดโทรศัพท์ไม่ให้ติดต่อครอบครัว
แม้กระทั่งตอนเเม่ตายเมื่อปีที่แล้ว น้องชายยังไม่ได้มาร่วมงาน เพราะไม่ทราบข่าว ซึ่งตนไม่ทราบมาก่อนว่าน้องชายถูกทำร้ายถึงขนาดนี้ เพิ่งทราบจากกู้ภัยเมื่อคืน ก็รู้สึกสงสารน้องชายมาก เพราะเขาพิการมาตั้งเเต่เกิด ร่างกายไม่ครบเหมือนกับคนอื่น แต่ทำไมต้องมาถูกรังแกแบบนี้ หลังจากนี้ขอดูเเลกันไป ส่วนสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ ตนอยากได้ไฟฟ้าเพื่อที่จะได้รับจ้างเย็บผ้าหารายได้เลี้ยงครอบครัว
ทีมข่าวลงพื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นางทนงกร แสงเพ็ง อายุ 58 ปี ภรรยาคนพิการ เปิดเผยว่า ตนคบหากับสามีมาประมาณ 5 ปี ยืนยันว่าไม่ได้บังคับสามีไปขอทาน แต่เจ้าตัวเป็นคนขี้เมา และเมื่อเมาก็จะขาดสติ ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายมาแล้ว เคยพยายามจะเดินให้รถชน ตนก็เอือมระอากับพฤติกรรมของสามี
เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุ สามีก็นั่งกินเหล้าขาวอยู่กับตน พอเขาเริ่มเมาเขาก็เดินออกไปจากวงเหล้า และไม่รู้ว่าเขาไปไหน ตนเพิ่งจะมาทราบข่าวว่าเขาไปกระโดดน้ำตาย ตนก็งงว่าทำไมเขาถึงไปให้ข่าวว่าตนบังคับให้เขาเป็นขอทาน ส่วนสาเหตุที่ตนยึดขาเทียมเขาไว้ เพราะไม่อยากให้เขาหนี เนื่องจากตอนที่เขาเมามักจะขาดสติหนีไปฆ่าตัวตาย
ตนยืนยันว่าไม่ได้ทุบตีสามี เป็นฝ่ายเขาต่างหากที่เคยทุบตีตนในตอนที่เมา แต่เมื่อสร่างเมาก็กลายเป็นคนละคน และยังกลับมาขอโทษ ตนยืนยันว่าไม่ได้บังคับให้สามีเป็นขอทาน แต่นี่เป็นอาชีพวณิพกซึ่งตนก็เป็นคนพาสามีไปทำบัตรเป็นวณิพกเอง เพราะอยากให้เขามีสัมมาชีพทำมาหากิน ซึ่งเงินที่ได้มาก็เอามาแบ่งกันคนละครึ่ง ตนก็เอาเงินมาใช้จ่ายในครัวเรือน
