ตลบหลังไฟแนนซ์ยึดรถ ขึ้นขี่ชิงซึ่งหน้าทนายแจ้งจับยกก๊วน - คนยึดไม่แคร์ลั่นขอสู้ (คลิป)

14 ธ.ค. 64

กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวของหญิงสาว ชาวจ.สงขลา ซึ่งเป็นผู้เสียหายถูกกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นไฟแนนซ์บุกล้อมยึดกุญแจรถกระบะ ก่อนจะข่มขู่กรรโชกทรัพย์ อ้างว่ารถคันดังกล่าวขาดส่ง 4 เดือน จะต้องถูกยึดเป็นของไฟแนนซ์ทันที โดยระบุข้อความว่า "ต้องการผู้เสียหายเพิ่มเติม ตอนนี้ได้ผู้เสียหายเพิ่ม 10 รายแล้ว ใครเคยโดนบุคคลในภาพข่มขู่ เอาเงินกรรโชกทรัพย์ รีดเงิน โดยอ้างว่ามาจากไฟแนนซ์ ติดต่อผมกลับด่วน จะล้างบางไอ้พวกนี้ ประวัติที่อยู่มีครบหมดแล้วทุกคน ตอนนี้ต้องการผู้เสียหายเพิ่ม"

520189

ล่าสุดวันที่ 14 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ สภ.คอหงส์ จ.สงขลา จึงได้พบกับผู้เสียหายที่ถูกยึดรถ โดยนางพิกุล จงบรรดาล หรือ กุ้ง อายุ 37 ปี เปิดเผยว่า รถกระบะเป็นชื่อของสามีที่นำไปเข้าไฟแนนซ์แห่งหนึ่ง โดยเมื่อ 2 ปีที่เเล้วตนกู้เงินมาทั้งหมด 310,000 บาท ดอกเบี้ยอีก 120,000 บาท รวมเป็นเงิน 430,000 บาท ผ่อนชำระทั้งหมด 72 งวด เดือนละประมาณ 6,500 บาท ซึ่งตนผ่อนชำระกับทางไฟแนนซ์มาโดยตลอด 2 ปี เท่ากับจ่ายเงินไปประมาณ 156,000 บาท จนเริ่มมีปัญหาเดือนมกราคม 64 ค้างชำระไว้ 4 งวด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เเต่เมื่อตนมีเงินก็รีบชำระเงินทั้ง 4 งวดจนครบ

กระทั่งเดือนมีนาคม 64 เจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์ เดินทางมาที่หน้าบ้านของตน เเละจะมายึดรถกระบะ ตอนนั้นตนโทรศัพท์ไปถามบริษัทต้นสังกัด เเจ้งกลับว่าหากค้างชำระเกิน 4 เดือน ก็เท่ากับยกเลิกสัญญาเเล้ว ส่วนเงินที่จ่ายไปแล้ว 4 งวด ก็ไม่มีประโยชน์ รอวันขึ้นศาลเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาตนก็มีการขึ้นศาลตามนัดมาโดยตลอด

130857

ในวันที่ 7 ธ.ค.64 ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. บริเวณตลาดเก้าบ่อ หมู่ 1 ตำบลชิงโค อำเภอสิงหานคร สามีของตนกำลังส่งของ พอยกของลงตรงร้านค้า จู่ ๆ ก็มีรถเก๋งสีขาว ขับมาจอดด้านหน้า เเละมีผู้ชายวิ่งลงมายึดกุญแจรถเเละเก็บเข้ากระเป๋าไป ก่อนจะมีผู้ชายอีกคนวิ่งตามลงมา ตอนนั้นลูกชายอายุ 10 ขวบของตนก็ยังอยู่ในรถเเละคอยถ่ายคลิปไว้ หลังจากนั้นก็มีรถมาจอดปิดหัวปิดท้ายอีก 3 คัน รวม ๆ เเล้วฝ่ายไฟแนนซ์มารวมกัน 8 คน เป็นผู้ชาย 6 คน ผู้หญิง 2 คน ซึ่งตนไม่ทราบว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีอาวุธติดตัวมาด้วยหรือไม่

754220

"ผู้ชาย 2 คน บอกว่ามาจากไฟแนนซ์ จะมายึดรถ ให้รอลูกพี่ก่อน เมื่อขอดูบัตรฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าไม่มีบัตร ให้ดูแค่หนังสือเท่านั้น เราก็บอกว่าจะทำอย่างนี้ไม่ได้ รถยังอยู่ในขั้นตอนของการประนีประนอม เเละมีการไปตามที่ศาลนัดทุกครั้ง เเต่ฝั่งตรงข้ามบอกเเต่ว่าไม่รู้ ๆ จะยึดรถท่าเดียว ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหัวรถ หลังจากนั้นพอตำรวจมา ฝ่ายคู่กรณีก็ชูกุญเเจรถขึ้นมา เเละบอกว่าจะยึดรถ ซึ่งหากไม่ยอมก็จะใช้รถยกรไปเลย จึงต้องไปไกล่เกลี่ยกันที่โรงพัก เเต่กลุ่มคนดังกล่าวไม่ยอมให้กุญแจรถกับตำรวจ สุดท้ายคู่กรณีก็ขับรถมาไกล่เกลี่ยที่โรงพัก โชคดีที่สามีของมีกุญแจสำรอง จึงได้นำรถกลับมาได้ ตอนนั้นคิดว่าหากสามีขึ้นโรงพักไป ฝ่ายคู่กรณีคงจะขับรถหนีเเน่นอน" นางพิกุล กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นตนอยากจะเเจ้งความเอาผิดคู่กรณี เพราะเป็นความผิดซึ่งหน้า เเต่ตำรวจบอกว่าไฟแนนซ์มีสิทธิ์ที่จะยึดรถ ตนจึงเกิดคำถามว่าตนไปตามที่ศาลนัดทุกครั้ง เเล้วการที่ไฟแนนซ์มายึดกุญแจรถจะไม่ผิดได้อย่างไร มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้คนไปไหน ซ้ำยังร่วมกันกรรโชกทรัพย์อีกด้วย ตอนนี้รถก็ยังอยู่กับตนเเละรอศาลตัดสินว่าจะถูกยึดรถหรือไม่

855523

นายสมภพ ทองนวล อายุ 36 ปี เเละนางสาวเพ็ญนิภา ทองนวล อายุ 38 ปี ผู้เสียหายอีกราย ที่ถูกกลุ่มคนอ้างตัวเป็นไฟแนนซ์จะยึดรถ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางปี 63 ตนไปเจอรถตู้ประกาศขายในเฟซบุ๊ก ราคา 390,000 บาท ตนคิดว่าน่าสนใจจึงได้ติดต่อเจ้าของรถ เเละไปทำสัญญาโดยไม่ผ่านไฟแนนซ์ที่กรุงเทพฯ จ่ายเงินดาวน์จำนวน 150,000 บาท ในวันที่ 5 มิ.ย.63 ซึ่งตามสัญญาจะต้องผ่อนจ่าย 24 งวด งวดละ 10,000 บาท หลังจากนั้นตนก็นำรถมาใช้ที่บ้านที่จ.สงขลา โดยที่เล่มรถยังอยู่ที่เจ้าของเดิม

509441

ทั้งนี้ ตนเเละภรรยาช่วยกันผ่อนชำระไปแล้ว เป็นเงินจำนวน 140,000 บาท เหลืออีกเเค่ 100,000 บาทเท่านั้น ก็จะปิดรถหมด แต่ในวันที่ 9 สิงหาคม 64 ตนเเละภรรยาจะไปทำบุญ จึงได้เเวะที่ร้านติดตั้งเครื่องเสียง สักพักก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน เดินมาดึงกุญเเจรถตู้ดับเครื่อง เเละยึดกุญเเจไว้ ตนก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ทำไม เเต่เหมือนจะเจรจากันไม่เข้าใจ สักพักก็มีกลุ่มคนมาเพิ่มอีกเกือบ 10 คน ซึ่งมีผู้หญิง 1 คน นอกนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด ตอนนั้นตนก็ไม่ทราบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีอาวุธหรือไม่ เเต่ได้กักตัวลูกสาว อายุ 17 ปี ของตนอยู่ในรถตู้ ก่อนจะยื่นเอกสารมาให้ตนอ่าน 1 ฉบับ ซึ่งเท่าที่ตนอ่านสรุปใจความได้ว่า หากตนเซ็นเอกสารดังกล่าว รถตู้ของตนก็จะถูกยึดเเน่นอน

นางสาวเพ็ญนิภา กล่าวว่า ตนไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนนั้นตนก็ได้อ่านเอกสารเเล้วเเต่ไม่ละเอียด เพราะเอกสารระบุไม่ชัดเจน ตอนนั้นกลุ่มคนดังกล่าวบอกกับตนว่า “ให้เซ็นชื่อในเอกสารไปก่อน เเล้วค่อยไปคุยกับเจ้าของเดิมทีหลัง” เหมือนพยายามพูดโน้มน้าวให้ตนเชื่อ ซึ่งตนได้ถามเเล้วว่า หากเซ็นชื่อไปแล้วรถจะถูกยึดหรือไม่ ฝ่ายไฟแนนซ์อ้างว่าไม่ยึด ตนจึงสงสัยเช่นกันว่าเจ้าของเดิมจะมีส่วนรู้เห็นกับขบวนการนี้ด้วยหรือไม่

"ตอนนี้พวกเราได้เเจ้งความไว้เรียบร้อยเเล้วค่ะ ส่วนรถตู้ตอนนี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน รู้เเค่ว่ามีการประกาศขายในอินเทอร์เน็ตเเล้ว เเละไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่มายึดรถได้อีกด้วยค่ะ" นางสาวเพ็ญนิภา กล่าวให้ฟัง

667178

ในวันเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางมาที่สำนักงานทนายความของ ว่าที่ร้อยตรีชัชวาลย์ บำรุงวงศ์ หรือทนายชัช ที่ดูแลคดีไฟแนนซ์ยึดรถให้กับกลุ่มผู้เสียหาย โดยทนายชัชวาลย์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นมีผู้เสียหายเกือบ 10 รายเเล้ว อยู่ในความดูแลของ 4 สถานีตำรวจ ได้แก่ สภ.สิงหนคร สภ.เมืองสงขลา สภ.คอหงส์ เเละสภ.นาหม่อง ส่วนความคืบหน้าในวันนี้ ที่สภ.คอหงส์ เเละพื้นที่ สภ.นาหม่อง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทะเบียนรถต่าง ๆ มีชื่อใครเป็นเจ้าของ หรือติดไฟแนนซ์อะไรบ้าง นอกจากนี้ ยังตรวจสอบกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อดูพฤติกรรมของกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นไฟแนนซ์ ว่ามีพฤติกรรมโจรกรรม หรือมีการปล้นทรัพย์ ปิดล้อมพื้นที่อย่างไร

ส่วนเเนวทางช่วยเหลือผู้เสียหายเเต่ละราย พูดง่าย ๆ คือทุกรายจะเจอพฤติกรรมเดียวกัน ตนขอให้อย่าเพิ่งมองเรื่องใครเป็นเจ้าของ หรือไม่ใช่เจ้าของรถ เเต่ทุกคนสามารถที่จะเอาผิดกลุ่มคนดังกล่าวในเรื่องความผิดต่อเสรีภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกักขังหน่วงเหนี่ยว การขู่บังคับให้เซ็นเอกสาร การให้ลงจากรถ ทิ้งไว้กลางทาง ก่อนจะเอารถไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ผู้เสียหายทุกรายสามารถดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ได้

329492

ส่วนประเด็นต่อมา คือ อำนาจในการยึดรถ กลุ่มบุคคลมีอำนาจจริงหรือไม่ ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล กลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่สามารถยึดรถได้ หรือต่อให้มีการค้างค่างวดจริง เเต่หากเจ้าของรถไม่ให้ยึด ก็ไม่สามารถบังคับได้ หากจะมีการยึดรถจริง ๆ จะต้องมีพยานหลักฐานเเละเอกสารที่ถูกต้องชัดเจน หรือไปลงบันทึกประจำวันไว้ เเต่พฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เท่าที่ตนได้สอบถามผู้เสียหาย ทุกคนพูดตรงกันคือไม่มีการเเสดงบัตรยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์ เเละไม่มีการเเสดงหนังสือมอบอำนาจ อีกทั้งยังมีเจตนาที่จะไม่เเสดงตัวตนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ พฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าว ก็ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง คล้ายปล้นทรัพย์ หากเจ้าของรถมีอาวุธ หรือคุยตกลงกันไม่ได้ ก็อาจจะเกิดเหตุสลดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะแนะนำว่าการซื้อขายรถจะต้องมีเอกสารสิทธิ์ ต้องดูว่ารถคันดังกล่าวติดไฟแนนซ์หรือไม่ เพราะรถเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีทะเบียนคุ้มครองอยู่ ฉะนั้นการจะซื้อรถ ต้องดูว่าทะเบียนเป็นของใคร ควรจะดูเล่มรถตัวจริง หรือตรวจสอบกับกรมการขนส่งก่อนซื้อขายสัญญา ต้องเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะหากเป็นรถเถื่อนก็จะไม่สามารถฟ้องร้องอะไรได้ เเละการทำสัญญาควรทำให้ถูกต้อง เเละควรทำที่บริษัทต้นสังกัดเพื่อความชัดเจนที่สุด นอกจากนี้ หากเกิดกรณีถูกคนล้อมหน้าล้อมหลัง อย่าลงจากรถ ให้รีบโทรติดต่อขอความช่วยเหลือให้เร็วที่สุด เนื่องจากการยึดรถตามปกติจะยึดด้วยความละมุนละม่อม ไม่ใช่ลักษณะดังเช่นในคลิปที่ปรากฏ

978264

ในวันเดียวกันทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่บ้านของนางสาวธีริศรา ศรีสวัสดิ์ หรือ ปิ๊ก อายุ 42 ปี สาวไฟแนนซ์ที่ปรากฏในคลิป กล่าวว่า ตนเป็นเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์ในนามของบริษัทแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบอำนาจถูกต้อง เป็นตัวเเทนฝ่ายติดตามยึดรถ ตนจึงมีใบรับรองผ่านการอบรม พ.ร.บ.ทวงหนี้ ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อของบริษัทไฟแนนซ์ได้ ทุกครั้งที่มีการยึดรถตนจะเเสดงตัว เเละบัตรพนักงาน พร้อมทั้งหนังสือมอบอำนาจ เเละทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อยึดรถส่งตามกรรมสิทธิ์ ไม่ได้ยึดไปขายหรือให้บุคคลใด หลังจากยึดรถตนจะให้ลูกค้าเซ็นส่งมอบรถ เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นคนรับรถไป

"จะให้เบอร์ติดต่อกับลูกค้าเสมอ หนูยืนยันว่าทำทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย ส่วนกลุ่มคนที่ไปด้วยกันคือลูกทีม เวลาจะลงไปหาลูกค้า จะลงไปไม่เกิน 3 คน ตาม พ.ร.บ.ทวงหนี้ จะมีการเเนะนำตัว พูดจาสุภาพ ไม่มีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ยืนยันว่าไม่เคยเรียกเงิน ซี่งการทำงานทุกครั้งจะมีการถ่ายคลิปเสมอ เเนะนำตัวว่าเป็นใคร มาทำอะไร ได้ร้บมอบอำนาจมาจากใคร เพราะถ้าไปเจอลูกค้าหัวหมอ เขาจะอ้างว่ารถยังไม่มีการพิพากษา ซึ่งหนูไม่ได้ยึดตามคำสั่งศาล เเต่ยึดตามคำบอกเลิกสัญญา เเละเเจ้งรายละเอียดทุกครั้งให้เจ้าของรถฟัง" นางสาวธีริศรา กล่าวยืนยัน

436913

ส่วนกรณีเคสรถตู้ ตนยืนยันว่าไม่ได้มีการบังคับให้เซ็นเอกสาร เเละมีคลิปยืนยันตอนที่ลูกค้าเซ็น ซึ่งเจ้าของเดิมตนก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ที่ตนสามารถติดต่อเขาได้เป็นเพราะเจ้าของรถปัจจุบันเป็นคนโทรติดต่อให้คุย ส่วนเคสของรถกระบะ ตอนนี้กุญเเจรถก็ยังอยู่กับบริษัทต้นสังกัดที่ได้รับมอบอำนาจ ตนยอมรับว่าทุกอย่างที่ทำอยู่ในอำนาจที่สามารถทำได้ เช่น ขอทรัพย์คืน บิดกุญเเจรถ หรือเข้าไปนั่งในรถได้ เเต่ห้ามเเตะต้องเนื้อตัวของลูกค้า หรือทำร้ายร่างกายเด็ดขาด ซึ่งลูกค้าบางคนที่รับเงื่อนไขไม่ได้ ก็จะมาเเจ้งความตนก็พร้อมจะสู้คดี เพราะตนเชื่อมั่นว่าทำทุกอย่างถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนที่ตนไปเเจ้งความเพื่อเอาผิดกับนักข่าวคนหนึ่งที่ทำให้ตนได้รับความเสียหาย เเละน่าจะมีการเเจ้งความหมิ่นประมาทเเละผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม