จากกรณี วันที่ 6 ธ.ค. 61 ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตจากการถูกแทง จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบศพนายประยูร ปิติพงษ์พล อายุ 62 ปี หรือ ลุงจ๋า เจ้าของร้านทำเฟอร์นิเจอร์ สภาพถูกคนร้ายมัดมือ เท้า และคอ มีอาวุธมีดแทงบริเวณกลางอก และต้นขาขวา นอนเสียชีวิตอยู่บนฟูก เบื้องต้น ตำรวจได้เรียกคนงาน 2 คน ซึ่งใกล้ชิดกับผู้ตายไปสอบปากคำ และมีลูกจ้างชาวเวียดนามอีก 2 คน ที่ยังไม่สามารถตามตัวมาสอบปากคำได้ (อ่าน :
สุดสยอง! เสี่ยเฟอร์นิเจอร์ ถูกฆ่าเหี้ยมมีดเสียบอก มัดคอ-มือเท้า พิรุธรอยงัดตู้เซฟ – 2 ลูกจ้างต้องสงสัยหายตัว)
วันที่ 7 ธ.ค. 61 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่ร้านเฟอร์นิเจอร์จุดเกิดเหตุ บริเวณ ถ.เทพประสิทธิ์ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม ขณะเดียวกันพบว่ามีกลุ่มญาติของผู้ตายเดินทางมาจากต่างจังหวัด เข้ามาในที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน
นายวิโรจน์ ศิริรัตน์ หรือใหม่ พ่อค้าทุเรียน ซี่งร้านอยู่ใกล้กับร้านเฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาลุงจ๋าเป็นคนนิสัยดี เฮฮา ไม่มีพิษมีภัยกับใคร อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ไหน และขยันทำงาน โดยร้านเฟอร์นิเจอร์ของลุงจ๋าเปิดมากว่า 20 ปี ไม่เคยมีปากเสียงกับใครรุนแรง ส่วนกรณีนี้มีปัญหากับลูกน้อง 2 คนหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ แต่ทราบว่าลูกน้องทั้ง 2 คน คือ นายขุน เป็นคนติดสุรา เมื่อเมาแล้วก็จะชอบนอน ไม่มาทำงาน แต่ก็ดูไม่ใช่คนเกเร โดยลุงจ๋ามักจะคอยดุด่าประจำ แต่นายขุนก็ไม่ได้มีท่าทีตอบโต้ นอกจากนี้ ลุงจ๋าเคยมาบ่นกับตนว่าอยากจะไล่ออก แต่ก็ไม่เห็นลุงจ๋าจะไล่ออกจริง ๆ ตนคิดว่าอาจเป็นแค่การพูดขู่มากกว่า เพราะนายขุนทำงานกับลุงจ๋ามาเกือบ 10 ปีแล้ว ส่วนตัวไม่คิดว่านายขุนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม อีกทั้งก่อนเกิดเหตุ นายขุนก็ไปดื่มสุราจนเมาอยู่อีกซอย ไม่ได้กลับมาที่ร้าน 2 วันแล้ว
ส่วนนายสิงห์ ทำงานกับลุงจ๋าได้ประมาณ 2 เดือน แต่เขาจะเข้า ๆ ออก ๆ งานบ่อย และทำงานกับลุงจ๋าได้ไม่ค่อยนาน ส่วนตัวไม่ค่อยสุงสิงกับเขา แต่ดูเขามีนิสัยโผงผางตรงไปตรงมา ส่วนที่นายสิงห์จะก่อเหตุหรือไม่นั้น ตนไม่แน่ใจ
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า วันเกิดเหตุ ตนไม่อยู่ที่ร้าน จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว ลุงจ๋าซื้อทองให้ทั้ง 2 คนใส่ ตนจึงเชื่อว่าลุงจ๋ารักลูกน้อง มีอะไรก็ซื้อให้กิน และตนก็คาดว่าลูกน้องก็ต้องรักลุงจ๋าเช่นเดียวกัน ส่วนประเด็นที่ตนสงสัยคือ เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ตนเห็นลุงจ๋าพาผู้หญิงที่ตนไม่เคยเห็นหน้า มานอนด้วยตอนกลางคืน โดยผู้หญิงคนนี้ลงมาจากบ้านตอนตี 5 ตนจึงเอ่ยปากแซว ทำให้ลุงจ๋าเขินแล้วบอกตนว่า “อย่าบอกใครนะ อายเขา” ซึ่งตนคาดว่าผู้หญิงคนนี้อาจไปเห็นตู้เซฟในห้องนอนของลุงจ๋าหรือไม่ ตนจึงไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดประเด็นนี้ทิ้ง เพราะเชื่อว่าเขาอาจจะเป็นคนชี้เป้าให้กับกลุ่มโจรเข้ามาก่อเหตุโจรกรรมปล้นทรัพย์ในตู้เซฟก็เป็นได้
โดย
พยานในคดีนี้ ให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุช่วงเวลา 19.00 น. - 21.00 น. ตัวเองเป็นคนเห็นว่ามีคนร้ายจำนวน 3 คน วนเวียนอยู่บริเวณร้านลุงจ๋า โดยคาดว่าคนร้ายจำนวน 2 คน เป็นคนก่อเหตุภายในบ้านพัก ส่วนอีกคนนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอก โดยเห็นว่าคนร้าย 2 คน เดินออกมาจากบ้านลุงจ๋า เวลาประมาณ 21.00 น. และไม่มีท่าทีเร่งรีบหรือผิดปกติ ทำให้คิดว่าเป็นลูกค้าทั่วไป
ทั้งนี้ เหตุที่สงสัยคนงาน 2 คน เป็นเพราะทั้งคู่ ทราบดีว่าลุงจ๋ามีตู้เซฟที่เก็บเงินสดไว้ที่อยู่ภายในห้องนอน และคนร้ายก็มีการลากร่างของลุงจ๋าไปหน้าตู้เซฟ และเสียชีวิตในบริเวณนั้น ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นการพยายามโจรกรรมทรัพย์ มากกว่าเรื่องความแค้นส่วนตัว โดยมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ชี้เป้า จนนำไปสู่การฆาตกรรมครั้งนี้
นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุ ไม่พบว่าเงินสดในกระเป๋าของลุงจ๋าหายไป แต่มีโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของลุงจ๋าที่หายไป ส่วนที่คนร้ายไม่สามารถยกตู้เซฟไปได้นั้น เป็นเพราะตู้เซฟมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ต้องอาศัยแรงงานผู้ชายมากกว่า 4 คน จึงจะสามารถยกไปได้ แล้วหากคนร้ายอุ้มตู้เซฟออกมาจากบ้าน ก็อาจทำให้ผิดสังเกต เมื่อคนร้ายก่อเหตุปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จ จึงต้องลงมือกับลุงจ๋าจนถึงแก่ความตาย เพื่อหนีความผิด
ขณะที่
นายถัง ปิติพงษ์พล พี่ชายของผู้ตาย เปิดเผยว่า น้องชายเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ ที่ ถ.เทพประสิทธิ์ มากว่า 20 ปีแล้ว โดยเป็นเจ้าของร้านทำงานเพียงลำพัง ไม่มีครอบครัว ส่วนนิสัยใจคอเป็นคนค่อนข้างดีกับคนในครอบครัว แต่เท่าที่ทราบ ผู้ตายมักจะชอบดุด่าลูกน้องด้วยคำหยาบคาย ซึ่งเวลาเขาโทรศัพท์มาคุยกับตน ก็มักจะบอกว่าลูกน้องลาออกไปแล้ว กำลังรับคนใหม่เข้ามา แต่ล่าสุดที่ได้คุยกัน น้องชายบอกตนว่า "ช่วงนี้รับงานเยอะ อีกหน่อยจะกลับบ้านไปอยู่กับพี่แล้วนะ" ตนจึงไม่แน่ใจว่าเขาทะเลาะกับลูกน้องเพราะเรื่องงานหรือไม่
ทั้งนี้ เวลาตนมาเยี่ยมน้องชาย ก็จะเห็นคนงาน 2 คนนี้เป็นประจำ คือ นายดำรงค์ศักดิ์ ฉลาดลบ หรือ นายสิงห์ อายุ 40 ปี และนายขุน หรือ นายคม แต่ตนไม่ได้สนิทมากนัก ซึ่งเท่าที่เห็นนายขุนจะเป็นคนมีนิสัยเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดจา ส่วนนายสิงห์มักมีปากเสียงกับน้องตน พูดจาไม่ค่อยดีนัก ซึ่งหากมีการพุ่งประเด็นไปที่ 2 คนนี้ ตนก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนสืบสวน และจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้โดยเร็ว
นายถัง กล่าวต่อว่า ตนยังคงปักใจเชื่อว่าสาเหตุของคดีนี้มาจากเรื่องงาน แล้วอาจจะเป็นปัญหาเรื่องปากเสียงกับลูกน้อง ส่วนปัญหากับคนอื่นนั้นตนไม่ทราบ โดยในวันพรุ่งนี้ญาติจะรับศพจากโรงพยาบาลตำรวจไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ที่ จ.สกลนคร
</p>