กรณีที่นางสาวศิริวรรณ มาลัยทัต ป้าของนายณัฐวุฒิ พิลึก หรือ ต่อ นักเรียนชั้น ม.3 ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุถูกรถเก๋งพุ่งชน ได้นำภาพหลักฐานต่าง ๆ มาแสดงต่อสื่อมวลชน โดยเล่าว่า เกิดเหตุเวลาประมาณ 20.00 น. วันที่ 1 เม.ย. 61 บนทางหลวงหมายเลข 340 สรรคบุรี-หันคา และในขณะเกิดเหตุหลานของตนกำลังจูงรถจักรยานยนต์ข้ามถนน เพราะรถคันดังกล่าวน้ำมันหมด ทำให้ถูกรถเก๋งของคู่กรณีชน
หลังเกิดเหตุ หลานของตนต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ถึง 5 ครั้ง หมดค่าใช้จ่ายไปแล้วประมาณ 1 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากฝั่งคู่กรณีซึ่งเป็นครูสาว โดยอ้างว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของบริษัทประกันภัยที่ครูสาวทำไว้ ส่วนเรื่องทางคดี พนักงานสอบสวน สภ.สรรคบุรี เจ้าของพื้นที่เกิดเหตุแจ้งข้อหาทั้ง 2 ฝ่ายว่าประมาทร่วม
ด้าน
นายสมเกียรติ เกตุช้ำ อายุ 48 ปี ลุงของน้องต่อ เปิดเผยว่า ครูอ้อย (นามสมมติ) คู่กรณี เข้ามาพบหลังเกิดเรื่องไปแล้ว 15 วัน โดยมาถ่ายรูปอยู่ 5 นาที แล้วก็กลับไป จากนั้นก็ไม่ติดต่อกลับมาอีก ส่วนเรื่องเงิน 5 ล้านบาทที่ฟ้องเป็นคดีแพ่งนั้น ตนคิดว่าเงินไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะแลกกับขาของหลานไม่ได้ และไม่รู้ว่าจากนี้จะประกอบอาชีพอะไร
อีกทั้งตอนนี้หลานก็ยังไม่ได้ไปเรียน ผ่าตัดมาแล้ว 5-6 ครั้ง เสียเงินหลักล้าน หมอก็บอกว่าอีก 3-5 ปี ถึงจะหาย แต่ก็ไม่รับปากว่าจะหายเป็นปกติหรือไม่ ตอนนี้สงสารหลานมาก เคยวิ่งเล่นเตะฟุตบอล ไปไหนมาไหนกับเพื่อนได้ แต่ตอนนี้กลับต้องมานั่งอยู่แต่ในห้อง หลานเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วด้วย จึงอยากให้ครูอ้อยออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ทำเท่านั้นเอง
ด้าน
ครูอ้อย (นามสมมติ) คู่กรณีที่ขับรถชน เปิดใจว่า ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุตนเคยไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลมาแล้ว 1 ครั้ง พร้อมทั้งประสานบริษัทประกันภัยรถยนต์ ให้มอบเงินเยียวยาให้กับครอบครัว หลังจากนั้นตนเองได้ติดต่อกับ น.ส.ศิริวรรณ ป้าของนายณัฐวุฒิมาโดยตลอด แต่ป้าของเด็กกลับไม่ค่อยให้ความร่วมมือ จนกระทั่งเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ครอบครัวของนายณัฐวุฒิได้ไปฟ้องศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งตนเองยอมรับว่ารู้สึกช็อก แต่ก็เป็นสิทธิ์ของคนเจ็บที่ฟ้องร้องได้ ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านบาทนั้น ยอมรับว่าตนเองคงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นมาจ่ายให้ครอบครัวนายณัฐวุฒิ
ตอนนี้ยังไม่ได้มอบเงินส่วนตัวให้เป็นค่าทำขวัญ หรือค่ารักษาพยาบาล เพราะตนเองก็ต้องจ่ายค่าซ่อมรถ 1.9 แสนบาท และเงินบางส่วนก็ต้องเก็บไว้ดูแลครอบครัว ซึ่งตนก็มีลูกเล็กที่ต้องดูแลเช่นกัน เรื่องเงินจึงต้องปล่อยให้ประกันภัยรถยนต์เป็นผู้จัดการ
ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา สภาพจิตใจตนก็ย่ำแย่ เมื่อทราบว่าครอบครัวคนเจ็บมาร้องเรียนสื่อ ยิ่งรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการชั้นศาลแล้ว ตนเองคงต้องรอความเป็นธรรมจากศาล จึงไม่อยากจะออกมาพูดอะไรมาก เพราะคนที่แย่กว่าครูก็คือสภาพจิตใจของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ