กรณีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ สวมชุดพนักงานส่งอาหารยี่ห้อดัง บุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ร้านทองกลางห้างบิ๊กซีสาขาชุมพร ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น สามารถกวาดทองรูปพรรณไปได้ รวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท ก่อนจะรีบขี่รถจักรยานยนตร์หลบหนีไปทันที
ล่าสุดวันที่ 21 ต.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ห้างบิ๊กซีสาขาชุมพร ต.วังไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของร้านทองและภายในห้าง สามารถจับภาพชายฉกรรจ์ อายุระหว่าง 30-40 ปี สวมใส่เสื้อแจ็กเกตสีเขียวคาดดำ ใส่กางเกงยีนส์ สวมรองเท้าผ้าใบ ศีรษะสวมโม่งสีดำเปิดเฉพาะบริเวณตา และในมือหิ้วถุงกระดาษผ้าสีน้ำตาล
โดยจากกล้องวงจรปิด เวลา 15.23 น. คนร้ายได้เดินเข้ามาในร้านทอง จากนั้นล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากถุงหิ้วคล้ายอาวุธปืน ก่อนจะเล็งไปที่พนักงานของร้านทองที่อยู่ในร้าน จำนวน 3 คน ขณะนั้นกำลังช่วยกันตรวจเช็กทองรูปพรรณและลงบันทึกเอกสารของร้าน
จากนั้นคนร้ายยังส่งถุงกระดาษสีน้ำตาล และถุงผ้าสีขาวให้พนักงานกวาดทองจากตู้ใส่ถุง กระทั่งเวลา 15.24 น. คนร้ายรวบรวมถุงที่ใส่ทองแล้วรีบวิ่งหลบหนีไป ใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น
ทีมข่าวไปยังร้านขายทองที่เกิดเหตุ อยู่บนชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้า ภายในร้านยังพบพนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์ทำหน้าที่ขายทองตามปกติ โดยพนักงานขายทองที่ถูกจี้ชิงทอง เล่าให้ฟังว่า เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.64) ช่วงประมาณ 15.00 น. คนร้ายสวมเสื้อ Grab สีเขียว สูงประมาณ 180 ซม. เดินไปทางร้านค้าด้านขวาของห้างเหมือนสังเกตการณ์ พอเห็นไม่มีลูกค้าจึงเดินเข้ามาภายในร้านทอง แล้วใช้อาวุธปืนที่มีถุงคลุมเล็งไปที่พนักงาน เมื่อเห็นปลายกระบอกปืนก็ตกใจ แล้วคนร้ายก็ขู่กับพนักงานว่า "อย่าส่งเสียงดัง อย่ากดสัญญาณเตือน ให้หยิบทองเส้นละ 1 บาท ในถาดด้านหลังมาใส่ถุง 2 ใบ"
จากนั้นพนักงานร้านทอง ก็ทำตามที่โจรบอกแบบไม่กระโตกกระตาก เพราะกลัวถูกทำร้ายร่างกาย ก่อนจะรวบรวมทองเส้นละ 1 บาท ในถาดด้านหลังใส่ถุงให้กับโจร เมื่อโจรได้ทองแล้วก็รีบวิ่งลงบันไดเลื่อนไปที่ชั้น 1 จากนั้นพนักงานก็รีบมุดเข้าไปภายในห้องส่วนตัว เพื่อกดสัญญาณฉุกเฉิน แล้วโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
"พอเรามาตรวจนับทองที่ถูกจี้ไปทั้งหมดแล้ว พบว่าเป็ สร้อยทองรูปพรรณ เส้นละ 1 บาท จำนวน 75 เส้น และมีทองที่ลูกค้านำมาจำนำ อยู่ในถาด อีก 5 ชิ้น รวมแล้วคนร้ายได้ทองไปทั้งหมด 80 บาท มูลค่า 2.5 ล้านบาท และคนร้ายน่าจะเตรียมตัวมาอย่างดี เพราะเลือกให้พนักงานหยิบทองเส้นละบาท และทองที่นำมาจำ เพราะอาจจะนำไปขายง่าย และตรวจเจอได้ยากด้วย" พนักงานร้านทอง กล่าวให้ฟัง
ทีมข่าวสอบถามน.ส.บี (นามสมมติ) พนักงานขายเสื้อผ้าที่อยู่ชั้น 1 ของห้างดังกล่าว เปิดเผยว่า ตอนนั้นตนอยู่ที่หน้าร้านพอดี เห็นคนร้ายสวมเสื้อไรเดอร์สีเขียวชื่อดัง วิ่งลงบันไดเลื่อน แต่วิ่งสวนลงมาทางขาขึ้น อย่างเร็วออกไปนอกห้างฯ ตอนนั้นก็เห็นว่าเป็นผู้ชายตัวสูง ๆ ไม่อ้วนไม่ผอม น่าจะอายุประมาณ 30 ปี ตนก็ได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่า "โจร ๆ ปล้นทอง" และได้ยินสัญญาณเตือนดังขึ้น แต่โจรก็วิ่งหนีเอาตัวรอดไปทางหลังห้างฯ ก่อนจะขี่รถจักรยานยนตร์หลบหนีไป จากนั้นตำรวจก็มาที่เกิดเหตุและมาสอบถามข้อมูลเพื่อจับคนร้าย
พ.ต.อ.ภาณุเดช ณ พัทลุง รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังตำรวจ ภ.จว.ชุมพร และตำรวจสืบภาค 8 ระดมกำลังออกพื้นที่ติดตามสอบพยานบุคคล และเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบหาเส้นทางหลบหนีของตัวร้าย พร้อมกันนี้ได้เข้าตรวจสอบขอรายชื่อพนักงานของไรเดอร์ทุกคนที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบัน และกลุ่มที่ลาออกไปแล้วเพื่อเรียกตัวมาสอบเป็นรายบุคคล จึงได้นำบุคคลต้องสงสัยมาสอบแล้ว 1 ราย มีลักษณะท่าทางคล้ายคนร้าย เป็นคนในพื้นที่ใกล้กับที่เกิดเหตุ เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธ ซึ่งตำรวจได้ปล่อยตัวไปแล้ว และจะรวบรวมพยานหลักฐานอื่น ๆ มาประกอบสำนวน หากใช่ก็จะออกหมายจับต่อไป
"การก่อเหตุของคนร้ายในครั้งนี้ เชื่อว่าได้มาดูลาดเลาหลายครั้ง ประกอบกับทางห้างแห่งนี้มีลูกค้ามาเดินหาซื้อสินค้าน้อย อีกทั้งชุด รปภ.ก็น้อย ทำให้คนร้ายฉวยโอกาสก่อเหตุและหลบหนีได้อย่างสะดวก อย่างไรก็ตามคาดอีกไม่นาน ก็จะติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ได้ในไม่ช้า" พ.ต.อ.ภาณุเดช กล่าว
ทีมข่าวลงพื้นที่สำนักงานบังคับการตำรวจภูธรเมืองชุมพร พบเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวนสืบสวนกำลังสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ชื่อว่า นายปิ๊ก ลักษณะสูง ผิวขาว หน้าตาดี ใส่กางเกงคล้ายกับโจรจี้ทองในกล้องวงจรปิด แต่สังเกตว่ารองเท้าคนละคู่กัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า จากการสอบปากนายปิ๊ก ไม่ได้รับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่จะได้รวบรวมพยานหลักฐานให้ครบ เพื่อพิสูจน์ว่าคนร้ายเป็นใคร
ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านของผู้ต้องสงสัย ในพื้นที่ ต.หาดพันไกร อ.เมือง จ.ชุมพร และได้พูดคุยกับแม่นายปิ๊ก กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.64) ลูกชายออกไปทำงานตามขี่รถส่งอาหารตามปกติ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. ตนมาทราบอีกทีตอนเช้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่มาควบคุมตัวลูกชายไปสอบปากคำที่โรงพัก และมีการสอบปากคำของตนด้วย
จากการพูดคุยกับลูกชาย เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำจริง ๆ ส่วนประวัติที่ลูกชายมีปัญหาเรื่องการเงิน ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้เคยติดพนันออนไลน์ จำนวน 3 ล้านบาท ตนจึงต้องขายที่ดินนำเงินสดไปใช้หนี้ให้ทั้งหมด กระทั่งลูกชายมาบอกว่ายังติดหนี้อีกจำนวนหนึ่ง ตนก็ได้ไปกู้เงินมาช่วยใช้หนี้ และไม่ได้พูดคุยกันประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว เนื่องจากตนรู้สึกโกรธที่เขามักจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัว