จากกรณีการเสียชีวิตของ นางสาวเอมอร เพชรกาศ อายุ 51 ปี ชาว ต.แม่ขรี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกบันได ภายในบ้านหลังเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 นอนเสียชีวิตบริเวณที่พักขั้นบันได ในสภาพสวมผ้าโสร่งเพียงผืนเดียว และเปลือยท่อนบน
โดยผู้ตายอยู่บ้านเพียงลำพัง ญาติก็อยู่ต่างจังหวัด เพื่อนบ้านจึงจัดการพิธีทางศาสนาที่วัดแม่ขรี โดยกำหนดเผาในวันที่ 23 กันยายน ก่อนปรงศพทางวัดให้ญาตินำบัตรประชาชนของผู้ตายมาแจ้ง แต่พบว่ากระเป๋าที่ผู้ตายใช้สะพายไปทำงานหายไป ภายในกระเป๋าสะพาย มีกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และพระเครื่องส่วนหนึ่ง
ญาติจึงพบพิรุธตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ตายไม่ได้ตกบันได แต่เกิดจากฆาตกรรมจากการชิงทรัพย์ จึงได้นำศพไปพิสูจน์การเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทราบว่ามีรอยช้ำและร้องรอยการถูกทำร้าย ทุบด้วยของแข็ง และถูกบีบรัดที่คอจนลิ้นลุกปากนั้น
นอกจากนี้ มีกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้าน บันทึกเหตุการณ์ที่คนร้ายปีนรั้วเข้า-ออกก่อนจะไปก่อเหตุได้อย่างชัดเจน ในคืนวันที่ 19 ก.ย. 64 เวลา 21.00 น. โดนรั้วมีความสูงประมาณ 2 เมตร
วันที่ 25 ก.ย. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสืบหาข้อเท็จจริง จนกระทั่งนำไปสู่การออกหมายจับ 3 คนที่ร่วมกันก่อเหตุ ฆาตกรรมอำพรางคือ นายธวัชชัย ฆังคะสะเร หรือ เขี้ยม อายุ 28 ปี, นายเอกชัย แซ่ปึ้ง หรือ ป๋อง อายุ 35 ปี, นายธีรพงษ์ จันทร์ หรือ เค อายุ 34 ปี โดยอนุมัติหมายจับ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา, กระทำการเป็นเหตุลักษณะรุมโทรม ซึ่งสามารถควบคุมตัวได้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทั้งนี้ ยังมีผู้ต้องหาที่เชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มก่อเหตุที่อยู่ระหว่างการหลบหนีอีก 1 คนคือ นายบอย อายุประมาณ 30 ปี
ขณะเดียวกัน ในเช้าวันนี้ พบว่า มีนายยงยุทธ เพ็งสุวรรณ หรือ หัวบอล หนึ่งในกลุ่มที่ร่วมกันก่อเหตุ อาศัยอยู่ข้างบ้านติดกับคนตาย และเป็นลูกชายเจ้าของโรงกลึง ยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นคนพาพรรคพวกไปก่อเหตุชิงทรัพย์ที่บ้านคนตาย ตำรวจจึงได้รวบคุมตัวแล้วนำไปทำแผนชี้จุดตามคำรับสารภาพ
โดยนายยงยุทธ สารภาพระหว่างการทำแผนว่า ในวันดังกล่าวตนเองเป็นคนปิดบ้านปิดประตู และเคลียร์ทุกอย่างภายในบ้าน หลังจากที่มีการเปิดหน้าต่างชั้น 2 ให้กลุ่มเพื่อน 5-6 คน ปีนหน้าต่างเข้ามาร่วมก่อเหตุแล้ว ตนเองเป็นคนปิดประตูเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะออกจากบ้าน
หลังจากที่ปิดประตูเสร็จแล้ว ก็ออกไปยืนรวมตัวกันที่หน้าบ้านของตนเองที่ติดอยู่กับบ้านของคนตาย พร้อมกับมีการแบ่งทรัพย์สินที่ขโมยมาได้ ตนเองแอบเก็บโทรศัพท์มือถือ พระเครื่อง และทองคำบางส่วนของผู้ตายเอาไว้อยู่กับตัว แบ่งแค่เพียงบางส่วนให้กับเพื่อนที่มาร่วมก่อเหตุ
แม้ว่าภายในบ้านจะมีการปิดประตูทำแผนให้นายยงยุทมีการชี้จุดรับสารภาพ บรรยากาศภายามีกลุ่มชาวบ้านและญาติของคนตาย เกิดความไม่พอใจตะโกนด่าทอ และช่วงที่นำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถคุมขังออกจากบ้านที่เกิดเหตุไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่โรงพัก สังเกตว่ามีนายพิสิษฐ์ มะรุเศษ อายุ 60 ปี น้าของคนตาย เกิดความไม่พอใจ ตรงเข้าไปเพื่อจะทำร้ายร่างกายนายยงยุทธ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยห้ามแล้วระงับเหตุได้
นางไข่ (นามสมมติ) เพื่อนบ้านคนตาย เปิดเผยว่า ในเช้าวันที่ 20 ก.ย. ตนเองทราบว่าตัวของนางสาวเอมอร ประสบอุบัติเหตุตกบันไดเสียชีวิต จึงได้เข้าไปดูที่เกิดเหตุ แต่สภาพศพมีร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกาย ตัวช้ำเขียว มีเลือดไหล และมีลิ้นจุกปาก ดูจากลักษณะที่เกิดเหตุไม่ได้เกิดจากการพัดตกบันไดอย่างแน่นอน จึงแอบตั้งข้อสงสัยตั้งแต่วันที่เจอสภาพ และนึกย้อนในคืนวันเกิดเหตุ ตนเองจำได้ว่านายยงยุทธ หรือ หัวบอล ลูกชายของโรงกลึงมีการนัดหมายรวมตัวกันของกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเครือญาตด้วยกัน สังเกตว่ามีคนประมาณ 5-6 คน เดินวนเวียนอยู่ใกล้กับบ้านคนตาย และเดินผ่านหน้าบ้านตนเองไปมา แอบมองผ่านประตูลอดออกไปก็เห็นว่ามีการรวมตัวกัน เชื่อว่าเหตุการณ์วันดังกล่าวต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ตนเองจึงได้ตัดสินใจบอกกับญาติคนตายนำไปสู่การนำศพไปตรวจชันสูตร จนกระทั่งญาติทราบว่าการตายครั้งนี้เกิดจากฆาตกรรม
แม้ว่าวันนี้นายยงยุทธ หรือ หัวบอล จะมีการยอมรับสารภาพกับพนักงานสอบสวนเพียงคนเดียว และผู้ต้องหาอีก 3 คน ที่โดนออกหมายจับแม้ว่าจะมีการปฏิเสธอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ตนเองยังคงยืนยันว่าตัวของ 4 ผู้ต้องหาที่จับแล้ว มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นร่วมกันทั้งหมด และยังเชื่อว่ายังมีอีก 2-3 คน ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ และยังลอยนวลอยู่ ตนเองจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวด้วยเร็ว เพราะชาวบ้านในละแวกนี้ต่างเดือดร้อนกับพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว
บ้านของตนเองย้อนกลับไปประมาณ 1 เดือนก่อน ก็เพิ่งจะถูกขโมยเข็มขัด กางเกง และเหรียญเก่าโบราณที่สะสมเอาไว้ โดยพฤติกรรมของกลุ่มนายยงยุทธ ได้แอบงัดหน้าต่างบ้านเข้าไปลักขโมยของในบ้าน ในตอนที่ตัวเองเข้านอนกันทั้งหมด ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่กล้าอยู่ในละแวกนี้เพราะกลัวจะเกิดเหตุไม่ดีเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่ากลุ่มของนายยงยุทธ จะเข้าไปก่อเหตุที่บ้านของนางสาวเอมอร และมีการจัดฉากทำนองว่าตกบันไดตาย อีกทั้งยังมีเพื่อนบ้านในละแวกนี้ ได้รับความเสียหาย จากการถูกปีนรั้วเข้าไปภายในบ้านอีกหลายหลัง เพราะกลุ่มของนายยงยุทธเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด
นอกจากนี้ ตนเองยังมีโอกาสคุยกับพ่อของนายยงยุทธ คนก่อเหตุ ซึ่งมีบ้านติดกัน ตนเองพยายามสอบถามพ่อของนายยงยุทธหลังจากที่ความจริงเริ่มปรากฏ พ่อของนายยงยุทธบอกกับตัวเองว่า "อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ลูกชายเป็นคนแสดงเก่ง อย่าเชื่อในการกระทำหรือสิ่งที่ลูกชายแสดงให้ทุกคนเห็น"
ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของนางแมว (นามสมมติ) เพื่อนบ้านที่ถูกนายยงยุทธผู้ต้องหาปีนรั้วเข้าไปในบ้าน ติดกับหลังบ้านผู้ต้องหา เล่าว่า ในเหตุการณ์ฆาตกรรมนางสาวเอมอรมีบ้านอยู่หลังบ้านติดกับตนเอง ทีแรกก็ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์นายยงยุทธผู้ต้องหาปีนเข้ามาที่บ้านของตนเองก่อนที่จะไปก่อเหตุปีนบ้านของนางสาวเอมอรและเกิดการฆาตกรรม จึงได้มาเปิดกล้องวงจรปิดย้อนดู ก็พบว่าบ้านของตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งหลังที่ถูกนายยงยุทธปีนเข้ามาก่อเหตุ แต่ไม่ได้ทรัพย์สินไป เพราะเนื่องจากบ้านปิดล็อกรวมถึงไม่มีทรัพย์สินทิ้งเอาไว้อยู่นอกบ้าน
ส่วนตัวเชื่อว่าหลังจากที่นายยงยุทธปีนรั้วเข้ามาภายในบ้านของตนเองแล้วไม่ได้ทรัพย์สินกลับไป จึงได้ตัดสินใจที่จะไปปีนรั้วบ้านของนางสาวเอมอรเพื่อก่อเหตุ แต่หลังจากที่อาจจะเผชิญหน้าเจอกับตัวของคนตายจึงได้มีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดประมาณ 1 เดือนก่อน ตนเองมองจากบ้านชั้นสอง เห็นนายยงยุทธปีนรั้วเข้ามาก่อเหตุลักษณะดังกล่าวแล้วครั้งหนึ่ง จึงได้ไปถามกับพ่อของนายยงยุทธ ทำนองว่าจะแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างไร เพราะนายยงยุทธเข้ามาก่อเหตุที่บ้านของตนเอง หากไปแจ้งความพ่อของนายยงยุทธจะประกันตัวหรือไม่ แต่พ่อก็ไม่ได้มีพฤติกรรมจะปกป้องลูกชาย บอกกับตัวเองว่าถ้าหากมีหลักฐานหรือมีการก่อเหตุจริงก็ให้ตำรวจมาจับไปได้เลย
แล้ววันนี้หลังจากที่ตัวของนายยงยุทธถูกจับเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนางสาวเอมอร ตนเองก็รู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงอีกต่อไป
ที่วัดแม่ขรี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ญาติของคนตาย ได้มีการนำร่างของนางสาวเอมอร ที่มีการเก็บศพเอาไว้ 2 คืน ออกจากที่เก็บศพภายในศาล นำร่างขึ้นประกอบพิธีทางศาสนา มีการประชุมเพลิง
นายพิสิษฐ์ มะรุเศษ อายุ 60 ปี น้าของคนตาย เปิดเผยว่า หลังจากที่นางสาวเอมอรเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงความเห็นเบื้องต้นว่าประสบอุบัติเหตุตกบันไดเสียชีวิต ทางญาติจึงได้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้ลักษณะตัวบ้านว่ามีบันไดเป็นแบบไหน แต่เมื่อไปดูแล้วจุดที่เจอศพตรงบันได รวมถึงสภาพศพไม่มีความสัมพันธ์กัน เพราะศพมีรอยช้ำเขียว ลิ้นจุกปาก และมีเลือดไหลบริเวณหัว จึงได้ติดใจการตาย และนำร่างไปตรวจชันสูตรที่โรงพยาบาล จนกระทั่งทราบว่าเจ้าตัวเสียชีวิตจากโดนของแข็งทุบ และถูกบีบรัดที่คอจนกระทั่งขาดอากาศหายใจ รวมทั้งมีร่องรอยของการถูกกระทำชำเรา จึงเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการฆาตกรรมอำพราง จึงได้มีการชะลอการเผาศพ จนกระทั่งคดีคลี่คลายในวันนี้ได้
ย้อนกลับไปในช่วงที่มีการตั้งบำเพ็ญกุศลศพ นายยงยุทธและคนในครอบครัวของนายยงยุทธ ก็เดินทางมาร่วมงานสวดอภิธรรมที่ศาลาสวดศพทุกคืน ไม่มีความผิดปกติ เจ้าตัวก็ยังนำทรัพย์สินของผู้ตายติดตัวมาด้วยในงานศพ เช่น นำมือถือของคนตายที่ขโมยติดตัวไป เอามาเปิดเล่นในงานศพ ถามกลุ่มเพื่อนว่าล็อกอินเฟซบุ๊กทำอย่างไร ซึ่งกลุ่มเพื่อนก็สงสัยว่าทำไมนายยงยุทธถึงมีโทรศัพท์เครื่องใหม่ เจ้าตัวก็อ้างกับเพื่อนว่าเพิ่งจะซื้อมา เจ้าตัวสวมใส่พระเครื่อง 3 องค์ที่ขโมยไปจากคนตาย
ตอนที่กู้ภัยมีการนำศพออกจากบ้าน เจ้าตัวก็ยืนดูแล้วใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านตามปกติ ไม่ได้ผิดสังเกตหรือจะแสดงอาการว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนางสาวเอมอร และหลังจากที่นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดแล้ว ญาติก็ได้เดินทางย้อนกลับไปที่บ้านที่เกิดเหตุไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากบ้าน นายยงยุทธก็มายืนอยู่ที่หน้าบ้าน ซึ่งตอนนั้นญาติก็ได้ชักชวนให้เข้าไปภายในบ้านเพื่อช่วยเก็บของ แต่ตัวนายยงยุทธ ตะโกนบอกญาติว่า "ไม่ไปครับ ผมกลัวผี" ซึ่งตนเองก็ไม่ได้แปลกใจเกี่ยวกับพฤติกรรมในวันดังกล่าว เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนก่อเหตุมีมากกว่า 4 คน ที่มีการออกหมายจับหรือจับกุมได้ เพราะเชื่อว่าต้องมีมากกว่านี้ และอาจจะร่วมกันก่อเหตุถึง 7 คน เนื่องจากทราบว่าตอนนี้ยังมีบางส่วนหลบหนีอยู่
ด้านนายทวีเกียรติ หลักเมือง อายุ 47 ปี ผู้ใหญ่บ้าน เปิดเผยว่า ประวัติของนายยงยุทธ เพิ่งจะพ้นโทษมาได้ประมาณ 6 เดือน ในข้อหาพยายามฆ่า โดยไปติดคุกอยู่ประมาณ 3 ปี พ้นโทษออกมาก็มาอยู่กับพ่อที่โรงกลึงข้างบ้านคนตาย แต่ในขณะที่ติดคุกอยู่นั้น ก็พยายามแหกคุก ทำให้มีการเพิ่มโทษ และหลังจากกลับออกมาก็มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยมีการหาเงินเพื่อซื้อยาเสพติดเสพ และมีการมั่วสุมกับกลุ่มเพื่อนจำนวนมาก และคนที่มาร่วมมั่วสุมก็จะเป็นคนในเครือญาติ รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่เคยรู้จักกันในเรือนจำ
ช่วงที่ผ่านมา ตนยอมรับว่ามีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนหลายหลัง โดยเป็นพฤติกรรมของกลุ่มนายยงยุทธได้เข้าไปก่อเหตุลักขโมยและปีนรั้วเข้าไปก่อความวุ่นวาย บางหลังถึงขั้นถูกขโมยทรัพย์สินภายในบ้านไปขาย เพื่อนำเงินไปเสพยาเสพติด แต่โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ยอมรับว่าถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ตำรวจมีการจับกุมตัวคนร้ายไปดำเนินคดี ชาวบ้านจะได้เกิดความปลอดภัย แต่ก็มีกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มวัยรุ่นอีกบางส่วนที่กลุ่มมั่วสุมกับนายยงยุทธ ยังไม่ได้ถูกจับ
