วันที่ 1 ส.ค. 68 ที่สถานีบริการนำมัน ปตท.บ้านมือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) นำคณะ เอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทน รวม 11 ประเทศ และผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ สื่อมวลชนร่วม 200 ชีวิต ดูความเสียหาย ภายหลังทหารกัมพูชายิง จรวดBM-21 ใส่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งทำให้มีประชาชนคนไทยเสียชีวิตรวม 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี และบาดเจ็บจำนวน 10 คน
โดยครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้ถือกรอบรูปผู้เสียชีวิต พร้อมกับร่ำไห้เรียกร้องขอความยุติธรรมกับทางกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง และบรรดาทูตต่างประเทศ
ขณะที่ ลูกสาวเจ้าของปั๊มน้ำมันแห่งนี้ ได้เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อบอกเล่าความรู้สึกขณะที่เกิดเหตุให้แก่คณะทูตและสื่อมวลชนฟัง มีใจความโดยสังเขปว่า
"ฉันเป็นลูกสาวเจ้าของปั๊มน้ำมันแห่งนี้ และได้อยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ลูกระเบิดตกลงมาในร้าน 7 - 11 ซึ่งขณะนั้น ฉันอยู่ในร้านคาเฟ่อเมซอนที่อยู่ห่างจากร้าน 7 - 11 ประมาณ 20 เมตร และกำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์กับพนักงานคนอื่นๆ ทั้งสะเก็ดระเบิดและแรงระเบิด ปลิวมาถึงร้านที่ฉันนั่งอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ร้านแห่งนี้เคยมีคนมาใช้บริการจำนวนมาก แต่การสู้รบระหว่างไทย - กัมพูชา ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครมาร้านเลย จึงทำให้ภายในร้านไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ฉันและพนักงานได้ยินเสียงระเบิด พวกเรารีบวิ่งออกมาจากร้านทันที ทำให้ฉันได้เห็นกลุ่มควันขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นมา หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที แม่และป้าของฉัน ก็รีบขี่รถจักรยานยนต์มารับฉันออกจากที่เกิดเหตุทันที พร้อมกันนั้น แม่ก็ได้ตะโกนบอกกับคนที่อยู่รอบบริเวณปั๊มน้ำมันด้วยว่าให้รีบหนีไป"
ด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณร้านสะดวกซื้อ ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านผือแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารส่วนใหญ่อยู่แล้วชายแดน ซึ่งเป็นผลจากการใช้อาวุธระยะไกลจากฝั่งกัมพูชา มาถึงตรงนี้ก็ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 30 กม. ตรงนี้ผิดหลักกฏหมายหลักมนุษยธรรม
ส่วนสาเหตุที่นำคณะทูตและสื่อมวลชนมาจุดนี้เป็นพื้นที่แรก เนื่องจากได้รับผลกระทบตั้งแต่วันแรกที่มีการการใช้อาวุธกัน (24 ก.ค.) จุดนี้มีผู้เสียชีวิตมาก ซึ่งจากตรงนี้ก็ยังมีบ้านพลเรือน โรงพยาบาล และโรงเรียน ซึ่งโรงพยาบาลและโรงเรียนเข้าเงื่อนไขสิทธิมนุษยชนด้วย
ตอนนี้เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริง ให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะฝั่งกัมพูชาก็พยายามสื่อสารเหมือนกัน แต่เนื้อหาและความน่าเชื่อถือไม่ได้ ไม่เหมือนกับฝ่ายไทยที่ทำทุกอย่างบนพื้นฐานข้อเท็จจริง
จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปที่ โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา และเดินทางไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านซำเม็ง ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
Advertisement