ทนายวิฑูรย์ ยกกล่องหลักฐานยื่นป.ป.ช.เอาผิด จนท.รัฐให้การเท็จคดีดิไอคอน
ทนายวิฑูรย์ ยกกล่องหลักฐานยื่น ป.ป.ช.เอาผิด เจ้าหน้าที่รัฐให้การเท็จคดีดิไอคอน ฝากถึง สามารถ อดอาหารประท้วงทำสุขภาพทรุด เก็บร่างกายไว้ต่อสู้คดีดีกว่า
คอนเทนต์แนะนำ
วันที่ 29 พ.ย.67 นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล เดินทางมาที่สำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อยื่นหนังสือกับนายสุขสันต์ ประสาระเอ ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ของ ป.ป.ช. เพื่อร้องทุกข์ให้สอบสวนเพื่อดําเนินกับเจ้าหน้าที่รัฐ สํานักงานเศรษฐกิจการคลังของกระทรวงการคลัง สืบเนื่องจากหน่วยงานนี้ เป็นคณะทํางานที่มีการประชุมหารือกันให้ตัวแทนของหน่วยงานให้ปากคํากับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งเป็นการให้การเท็จคือในเรื่องที่ว่า ตัวแทนของดิไอคอนกรุ๊ปแนะนําให้ตัวแทนอีกคนนึงเปิดบิลซื้อสินค้าในระดับดีลเลอร์ คือ 250,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน 10,000 บาท เป็นประจําทุกเดือน ได้อัตราค่าตอบแทน 48% ต่อปี ถ้าดูแล้วถ้าดีลเลอร์ได้ 5 คน ก็จะได้ค่าตอบแทนต่อคน เป็นเดือนละ 10,000 บาท เท่ากับ 480% ต่อปี
ซึ่งดิไอคอนกรุ๊ปเล็งเห็นว่าเป็นการให้การเท็จ ทั้งที่จริงๆแล้วคำว่า ดีลเลอร์เกท ดีลเลอร์ เป็นการให้ผลตอบแทนเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นค่าคอมมิชชั่น หรือที่เรียกกันว่าค่านายหน้า ตามปกติของการค้าทั่วไป ซึ่งการให้การเท็จดังกล่าว ทำให้คณะพนักงานสอบสวนหลงเชื่อ และดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กับบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ทำให้บริษัทและเหล่าบอสได้รับความเสียหาย
โดยทนายวิฑูรย์ ยกกล่องเอกสารตัวอย่างของ 30 รายชื่อแรกที่ได้ “ดีลเลอร์ เกท ดีลเลอร์” มามอบให้ แต่ของทั้งบริษัทมีเอกสารรูปแบบนี้อยู่กว่า 200,000 แผ่น ซึ่งไม่สามารถนำมาทั้งหมดได้เพราะเยอะมาก ทั้งนี้ ต้องการเอาผิดทั้งทางวินัยและอาญา ข้อหาให้การเท็จ และกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นต้องรับโทษ โดยจะเอาผิดกับทั้งคณะทำงาน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญสูง การให้ปากคำควรให้การอย่างรอบด้าน ถ้าได้เห็นเอกสารของบริษัทตามที่ดีเอสไอส่งให้แล้ว การที่ให้การแบบนี้ ตั้งใจบิดเบือน เพื่อให้เข้าข้อหานี้หรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่า สำนักงาน ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรม และเอกสารทั้งหมดนี้ ตนจะนำไปยื่นดีเอสไอเช่นกันในวันที่ 3 ธ.ค. 67
ส่วนประเด็นที่ดีเอสไอ ค้นบ้านพัก“สามารถ-แม่” เจอเอกสารเงินกู้ยืม - ทำบุญ รวม 2.2 ล้านบาท ที่มีการลงชื่อ “บอสพอล” เพิ่งทำขึ้นในเรือนจำ เมื่อ 12 พ.ย.67 ทางทนายวิฑูรย์ ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นสัญญา แต่เป็นหนังสือที่บอสพอล ทําถึงนายสามารถ เกี่ยวกับเรื่องเงินที่แม่ของนายสามรถ เอาไปแค่นั้นเอง เป็นการตอบจดหมาย มันไม่ได้เป็นเอกสารหลักฐานอะไรอย่างที่ดีเอสไอเข้าใจ ซึ่งเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือที่เป็นเรื่องระหว่างบุคคล กับ บุคคล มันไม่ใช่เรื่องระหว่างบุคคลกับหน่วยงานรัฐ มันเป็นคนละเรื่องกัน ส่วนตัวทนายเข้าใจว่าเอกสารพวกนี้ไม่น่าจะใช่ประเด็นที่ดีเอสไอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะถ้าทางดีเอสไอไม่เชื่อก็แจ้งข้อกล่าวหาได้ ส่วนหากเห็นเอกสารแล้วดีเอสไอเชื่อ ก็คงไม่จับนายสามารถดําเนินคดี แล้วคัดค้านประกันตัว
นักข่าวถามต่อว่าในช่วงที่มีการยืมเงินกันน่าจะอยู่ในช่วงปี 2564-2565 เหตุใดไม่ทําสัญญาตกลงกันในปีนั้น เรื่องนี้ทางทนายวิฑูรย์ ระบุว่า ส่วนตัวทนายก็ไม่ทราบว่าเขายืมเงินกันแบบไม่มีสัญญาจริงๆ ถ้าเกิดทําสัญญาก็คงจะเป็นการทําย้อนหลัง ซึ่งเป็นการใช้หนี้ไปแล้วบ้าง ไม่ใช้หนี้บ้าง มันก็เป็นเรื่องที่คน 2 คนเขาคุยกัน
ส่วนประเด็นเรื่องเงินบางส่วนที่เข้าบัญชีคุณแม่ไป ก็เชื่อมโยงไปทางบัญชีของคุณสามารถ หากมีการรับเงินเกินจํานวน 3,000 บาท ถึงมีการทําเอกสารชุดนี้ขึ้นมาหรือไม่ ทนายตอบว่า ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเงินคุณพอล ไปถึงบัญชีคุณแม่เท่านั้น ส่วนบัญชีคุณแม่ไปบัญชีลูกต่อ เรื่องของแม่ลูกเขา พร้อมยืนยันว่าเป็นเงินที่โอนไปเป็นเงินทำบุญ
ส่วนข้อพิรุธสงสัย คือเรื่องของเงินที่เข้าบัญชี แต่ทําไมต้องคืนมาเป็นเงินสด ทนายวิฑูรย์ ระบุว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องที่คนสองคนพูดคุยกัน
ส่วนเงินที่บอสพอล ให้แม่ของนายสามารถ แล้วแม่จะโอนต่อให้นายสามารถหรือไม่อย่างไร ส่วนตัวก็ไม่ทราบ แต่ยืนยันว่าเป็นเงินทำบุญจริง และไม่ได้จ่ายทุกเดือน แต่เป็นระยะเวลาหลายปีรวมกัน
กรณีที่ นายสามารถ เรียกร้องความเป็นธรรมด้วยการประท้วงอดอาหารนั้น ทนายวิฑูรย์ ขอพูดในฐานะเพื่อนว่า ไม่เห็นด้วย แม่ของนายสามารถก็ไม่เห็นด้วย เพราะว่า ถ้ามั่นใจว่าไม่ผิด ต้องเก็บร่างกาย เก็บสมองไว้ต่อสู้คดี การอดข้าวอดน้ำทำให้ไม่แข็งแรง สุขภาพทรุดโทรม สมองเบลอ แล้วจะต่อสู้คดีอย่างไร ตนมองว่าไม่ควรทำแบบนี้
Advertisement
