"ป้าบุญล้อม" ยันเห็น "นายหรั่ง" ใส่เสื้อสีเหลืองอุ้มเด็กใส่ตะกร้าจักรยาน (คลิป)
วันที่ 20 ก.พ. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ติดตามกรณี ด.ช.ต่อศักดิ์ แสงสว่าง หรือ น้องต่อ วัย 8 เดือน หายไปอย่างปริศนาจากบ้านพักหมู่ที่ 6 ต.หินมูล อ.บางเลน จ.นครปฐม นับว่าเป็นเวลากว่า 15 แล้ว ก็ยังไร้วี่แววหรือเบาะแสน้องต่อว่าหายไปอย่างไรหรือใครอุ้มไป ทีมข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ถนนหมายเลข 4051 เส้นเรียบคลองท่อจุดที่ น.ส.บุญล้อม มั่นคง หรือ ป้าบุญล้อม อายุ 55 ปี อ้างว่าวันที่ 5 ก.พ. 66 เวลาประมาณ 08.00 น. ได้พบเห็นชายสติไม่คือนายหรั่งขี่รถจักรยานมีเด็กนั่งตระกร้าหน้ารถไปด้วย จากการตรวจสอบพบจุดดังกล่าวห่างบ้านนายพุด พ่อของน้องต่อ ประมาณ 2 กม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ป้าบุญล้อม ยืนยันว่า ตนนั้นเห็นนายหรั่งขี่รถจักรยานสวนตนเองไปจริง ๆ ในวันที่ 5 ก.พ. 66 โดยนายหรั่งขี่มาจากทางบ้านของ นายพุด พ่อเด็ก มุ่งหน้าไปถนนหมายเลข 3019 ขณะนั้นตนขี่รถจักรยานยนต์สีดำกำลังไปหาเถ้าแก่ที่ลาดสะแก ต.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งไปไม่นานก็กลับมาเอาพัสดุบ้านกำนันนวย และกลับเข้าบ้านที่หมู่ 6 โดยวันนั้นไม่ได้ดูข่าวเลย กระทั่งเห็นผู้ใหญ่บ้าน, อบต. ลงรูปภาพนายหรั่งชี้จุดผ่านทางเฟซบุ๊ก ตนเองจึงนึกเรื่องที่ขี่รถสวนทางกับนายหรั่งและมีเด็กนั่งตะกร้าหน้าจึงพูดเรื่องนี้ออกไป
ส่วนเรื่องที่มีชาวเน็ตเข้ามาด่าตนคอมเมนต์ด่าประมาณว่า “ตนไปหลบป่าอยู่หรืออย่างไรทำไมเพิ่งถึงมาพูด” หรือ “ไม่มีทีวีจะซื้อให้” ซึ่งตนไม่ได้สนใจเพราะตนพูดความจริงทั้งหมด ยอมรับมีเครียดหลังรู้มีชาวเน็ตด่า ตนไม่ได้อยากเป็นข่าวตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่ออกมาพูดเพราะตนมีเจตนาดี
ยืนยันว่า วันนั้นที่เห็นนายหรั่งเขาใส่เสื้อสีเหลืองคอปกจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะใส่เสื้อ 2 ชั้นหรือไม่ เพราะตนเห็นปลายแขนเสื้อทีมีสีดำ ๆ ด้วย ตนเห็นแบบนี้จริง ๆ ถ้าไม่เห็นคงไม่พูด ส่วนกรณีที่ชาวบ้านบอกว่านายหรั่งไม่ชอบเด็กตนขอย้ำว่า ไม่รู้จักนายหรั่งเป็นการส่วนตัวเพราะจริง ๆ ก่อนหน้านี้ตนไม่ได้อยู่บ้าน แต่เป็นลูกจ้างเจ้าของร้านทำผมย่านบางเลนก็จะไปใช่ชีวิตอยู่บางเลนเป็นส่วนใหญ่ ตนพึ่งกลับมาบ้านช่วงโควิดดีขึ้นมาประมาณ 2 ปี มาอยู่ก็เห็นนายหรั่งทราบเพียงว่าเป็นลูกชายคนเล็กของเพื่อนบ้าน ไม่รู้จักนิสัยว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบเด็ก พร้อมยืนยันไม่มีทางปรักปรำนายหรั่ง ที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง
ขณะที่ นายประกอบ ศิลารัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.หินมูล กล่าวว่า ได้พานายหรั่งไปพูดคุยปรับพฤติกรรมเกลี้ยกล่อมเกือบครึ่งวัน โดยเน้นสอบถามเรื่องที่นายหรั่งอ้างพบเจอน้องต่อก่อนพาไปยังถนนสาย 4051 แถว ๆ แปลงนาข้าวใกล้กับคลองท่อและคลองลำราง โดยนายหรั่งยังยอมรับว่าได้ส่งเด็กให้กับผู้หญิงคนหนึ่งบริเวณริมถนนสายนี้ แต่ตนตรวจสอบรายชื่อแล้วไม่พบบุคคลนี้มีชื่อปรากฏอยู่ในชุมชน ซึ่งตนได้พาตัวนายหรั่งไปยัง สภ.บางหลวง เพื่อให้ตำรวจสอบปากคำอีกครั้ง แต่มีเจ้าหน้าจากบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.นครปฐม มารับตัวโดยมีข้อมูลจะนำตัวนายหรั่งไปเช็กประวัติด้านผู้ป่วยจิตเวชและพาไปเก็บตัวเพื่อประเมินการรักษาก่อน
นายประกอบ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบประเด็นของนายหรั่งเพิ่มเติม ทั้งการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องให้มาปากคำ และลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบวงจรปิดบริเวณจุดที่นายหรั่งอ้างทั้งหมด 3 ประเด็นเกี่ยวเหตุการณ์ที่เกิด ซึ่งไม่ตรงกันจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อีกทั้งตลอดเช้าวันนี้ที่คุยนายหรั่งให้การวกวนไปหมด แต่บอกจุดที่พาเด็กไปตรงกันทุกรอบคือประเด็นที่หนึ่งนายหรั่งอ้างว่าอุ้มเด็กไปเล่นและส่งคืนผู้หญิงที่ไม่ปรากฎชื่อในชุมชน สองนายหรั่งอ้างว่าอุ้มเด็กไปทิ้งที่โพงหญ้าห่างจุดที่ป้าบุญล้อมพบ ประมาณ 60 เมตร และประเด็นสุดท้ายนายหรั่งบอกว่าอุ้มเด็กไปมอบให้ชายหญิงคู่หนึ่งที่ขับรถจักรยานยนต์มารับตัว
ทั้งนี้จากการประเมินของตน หากไม่ตัดประเด็นใดทิ้งคำบอกเล่าของป้าบุญล้อมมีน้ำหนักที่สุด เพราะตัวไม่มีอะไรที่จะมาแลกกับการเป็นคดีความ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าให้ข้อเท็จจริง แต่ต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐาน เนื่องมีข้อมูลขัดแย้งเล็กน้อยคือวันดังกล่าว กล้องวงจรปิดพบหรั่ง สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน แต่พฤติกรรมหรั่งก็ชอบสวมเสื้อ 2 ชั้นอยู่แล้ว จึงต้องให้ป้าบุญล้อมชี้ว่าไปไหนมาบ้าง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน
ด้าน นางสังวาลย์ แสงสว่าง อายุ 70 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ กล่าวว่า ในวันที่ 5 ก.พ. ตนเองเห็นนายหรั่ง นั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อน ซึ่งบ้านอยู่หลังตรงข้ามบ้านตน โดยวันดังกล่าวตนเห็นนายหรั่งใส่เสื้อสีน้ำเงิน แขนยาว ไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลืองแต่อย่างใด และหลังจากเด็กหาย เจ้าหน้าที่เข้ามาในชุมชนนายหรั่งก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้มีพิรุธแต่อย่างใด
สำหรับนายหรั่งมีนิสัยคล้ายเด็ก ใครชี้ช่องไปทางไหนก็จะพูดไปทางนั้น จึงเชื่อว่าสิ่งที่พูดกับตำรวจว่าอุ้มเด็กน่าจะเป็นการพูดเพ้อเจ้อส่วนกรณีที่ป้าบุญล้อมอ้างว่าเห็นนายหรั่งขี่รถจักรยานยนต์อุ้มเด็กตนเองรู้สึกไม่พอใจ มองว่าไม่ควรกล่าวหานายหรั่งแบบนั้น และไม่เชื่อว่าสิ่งที่ป้าบุญล้อมพูดจะเป็นความจริง เพราะตนเป็นพยานยืนยันได้ว่าช่วงที่เด็กหายเห็นนายหรั่งอยู่ในชุมชน และรถจักรยานของนายหรั่งก็ไม่มีตะกร้าหน้ารถ นอกจากนี้นิสัยส่วนตัวนายหรั่งเป็นคนไม่ชอบเด็กไม่เคยเห็นนายหรั่งเข้าใกล้เด็กคนไหนเลย ตอนนี้จึงรู้สึกนายหรั่งที่ถูกกล่าวหาเพราะนายหรั่งเป็นคนน่าสงสาร นางสังวาลย์ กล่าว
ทีมข่าวได้ทำการจำลองนำเด็กใส่ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน เพื่อจะดูปฏิกิริยาของเด็กว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กที่นำมาจำลองในครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองแล้วชื่อ "น้องแทนไท" อายุ 8 เดือน น้ำหนัก 9 กิโกรัม น้ำหนักเท่ากันกับน้องต่อ แต่รูปร่างของเด็กที่นำมาจำลองจะตัวเล็กกว่าน้องต่อ โดยเมื่อนำเด็กวางใส่ตะกร้ารถ เด็กได้ขยับตัวดุ๊กดิ๊กอยู่ตลอด ทำให้ตะกร้าโครงเครง ผ่านไป 10 วินาที ปรากฎว่าเด็กร้องไห้จนแม่เด็กต้องอุ้มลูกออก
น.ส.นิลรัตน์ ศรีเมือง อายุ 29 ปี แม่ของน้องแทนไท กล่าวว่า ลูกของตนจะตัวเล็กกว่าน้องต่อ นิสัยเป็นมิตรกับทุกคน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าการเอาเด็กใส่ตะกร้ารถจักรยานเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดลูกของตนเป็นคนร้องไห้ยากพอเอาใส่ตะกร้ารถยังร้องไห้จนต้องอุ้มออก ส่วนน้องต่อเป็นเด็กที่ร้องไห้ง่ายกว่าลูกของตนดังนั้นน่าจะร้องตั้งแต่โดนอุ้มแล้ว
ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านอ้างว่า เห็นนายหรั่งปั่นจักรยานเอาเด็กใส่ตะกร้าหน้ารถนั้น ส่วนตัวไม่เชื่อเพราะรถจักรยานของนายหรั่งไม่มีตะกร้าชาวบ้านในชุมชนต่างรู้ดี และในวันเกิดเหตุชาวบ้านหลายคนรวมถึงตนก็เห็นว่านายหรั่งนั่งดื่มเหล้าอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่เช้าจนสายไม่ได้ไปอุ้มเด็กอย่างแน่นอน โดยส่วนตัวจึงรู้สึกสงสารนายหรั่งมากอยากให้มีการพิสูจน์ให้ชัดเจนก่อนจะกล่าวหา
ทีมข่าวได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันที่ 5 ก.พ. 66 ริมถนนใกล้กับจุดที่ป้าบุญล้อมให้เบาะแสว่าเห็นนายหรั่งขี้จักรยาน ระหว่างช่วงเวลา 05.48-08.30 น. จากการตรวจสอบช่วงเวลาต่าง ๆ ไม่พบรถจักรยานของนายหรั่งตามเส้นทางดังกล่าว
ด้าน นายเข็มพร สุระสาย หรือ ลุงพร อายุ 65 ปี เจ้าของจักรยานคันที่นายหรั่งเคยหยิบไปขี่ เปิดเผยว่า ตนกับนายหรั่ง ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ย้อนไปประมาณ 1 เดือนกว่า ปกติจักรยานตนจะมีตะกร้าสีดำ และมีพ่วงข้าง แต่วันนั้นถอดพ่วงข้างออก และขี่ไปร้านค้า ก่อนพบนายหรั่ง แต่พอออกจากร้านค้ามา หยิบจักรยาน เป็นจักรยานอีกคัน ก่อนมาเจอนายหรั่ง อีกรอบ ถึงรู้ว่าจักรยานหยิบสลับกัน ก็ยังร้องโวยว่า “เอ้านี่จักรยานกูอยู่ที่มึง ของมึงอยู่ที่กู” แค่สภาพจักรยานวันนั้นตะกร้าหายไป เมื่อถามนายหรั่ง ๆ บอกว่าถอดทิ้งไว้บ้านลูกพี่
ลุงพร ย้ำว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นนานแล้วก่อนหน้าน้องต่อหายจึงคิดว่าไม่เกี่ยวกันเพราะวันนั้นเป็นช่วงกลางวัน ซึ่งยังชวนนายหรั่งมากินข้าววัดอยู่เลย ต่อมาครั้งที่ 2 ใกล้เคียงกันนายหรั่งมาหาที่บ้าน ขี่จักรยานของนายหรั่งมา แต่ยางแบนนายหรั่งมาขอสูบลมยาง แต่ดันสลับจักรยานตนไป บอกว่าช่วงเย็นจะนำมาคืนและนายหรั่งก็นำมาคืนจริง ๆและพยายามให้แกงนายหรั่งไปกิน แต่นายหรั่ง ไม่เอา ซึ่งหลังจากนั้น ก็ไม่เจอนายหรั่ง อีกเลย
Advertisement
