เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ม.ค. 66 ตำรวจ สภ.นามน จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบศพผู้เสียชีวิต เบื้องต้นคาดว่า น่าจะถูกฆาตกรรมถูกฝังดิน อยู่ข้างสระน้ำกลางทุ่งนาบ้านทรัพย์เจริญ ต.หลักเหลี่ยม อ.นามน จ.กาฬสินธุ์
ที่เกิดเหตุพบรอยดินถูกขุดและถมใหม่ อยู่บริเวณข้างสระน้ำกลางทุ่งนา ห่างจากกระท่อม ประมาณ 50 เมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดดินขึ้นมา พบศพเป็นผู้ชาย ทราบชื่อต่อมาคือ นายบุญมี นามนาเมือง อายุ 54 ปี ชาวบ้านในหมู่บ้าน สภาพศพสวมเสื้อแขนยาวลายพรางทหาร นุ่งกางเกงขายาวสีดำ
ตรวจสอบตามร่างกายพบบาดแผลฉกรรจ์ถูกของแข็งตีที่บริเวณคาง และท้ายทอย บริเวณข้างหูซ้ายและขวา ยังพบบาดแผลคล้ายกับถูกของแหลมแทงอีกหลายจุด คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบบริเวณกระท่อมของผู้ตายยังพบข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายคล้ายกับมีการต่อสู้กัน และมีคราบเลือดเปื้อนอยู่ตามพื้น ใกล้กันยังพบจอบเปื้อนเลือดวางอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย พิมพ์แก้ว ผกก.สภ.นามน จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่านายบุญมี ได้ออกจากบ้านมาเลี้ยงควายอยู่ที่บริเวณดังกล่าว ก่อนจะหายตัวไปตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันที่ 1 ม.ค. กระทั่งมีคนมาพบเป็นศพถูกฆ่าฝังดินไว้บริเวณดังกล่าว สอบถามพยานแวดล้อมและญาติเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พอที่จะทราบตัวผู้ต้องสงสัยที่ลงมือก่อเหตุแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับผู้ตาย น้องชายของผู้ตาย เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ต้องสงสัยรายนี้มักจะก่อทำร้ายร่างกายญาติ ๆ และพยายามทำร้ายนายบุญมี พี่ชายบ่อยครั้ง เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อน ขณะนี้ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบปากคำ
ขณะเดียวกันด้าน พล.ต.ต.สุวรรณ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ให้ข้อมูลว่า มูลเหตุปมการฆ่านั้นเบื้องต้นคาดว่า น่าจะเป็นปัญหาของคนในครอบครัวเพราะผู้ต้องสงสัยมักจะก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว และเคยขู่ฆ่าหลายคนมาแล้ว ขณะนี้ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้หลังจากตำรวจชุดสืบสวน สภ.นามน ลงพื้นที่ติดตามตัวผู้ก่อเหตุ ตำรวจสามารถตามไปจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ คือ นายไพศาล นามนาเมือง อายุ 37 ปี น้องชายของผู้เสียชีวิตได้แล้ว หลังก่อเหตุ เจ้าตัวได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านพักของตัวเอง ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ไกลกัน เบื้องต้น เจ้าตัวยังไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจจึงนำตัวไปสอบสวนที่โรงพัก กระทั่งยอมเปิดปากสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่า
ส่วนสาเหตุนายไพศาล อ้างกับตำรวจว่า ได้เสพยาบ้าจนมีอาการหลอน และช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. ตนเองได้นั่งผิงไฟและกินเหล้ากับพี่ชายอยู่ที่บ้านของพี่ชาย ระหว่างนั้นตนเองเกิดภาพหลอน โดยเห็นพี่ชายที่นั่งกินเหล้าอยู่ แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาด แยกร่างและเข้ามาไต่ตามตัวและร่างกาย ขณะนั้นด้วยความกลัวและโมโห จึงคว้าเก้าอี้ม้านั่งที่ตนเองนั่งอยู่ยกขึ้นฟาดหัวพี่ชาย ก่อนใช้บันไดไม้ของกระท่อมฟาดต่อ หยิบท่อนไม้ยูคาลิปตัสที่อยู่ใกล้ ๆ ฟาดที่หัวและใบหน้าของพี่ชายอีก 10 กว่าครั้งจนเสียชีวิต
ซึ่งเจ้าตัวหลังกลับมาบ้าน ได้นำเลือดของพี่ชายบางส่วนนำใส่ภาชนะและใช้นิ้วโป้ง จุ่มเลือดของพี่ชายนำไปป้ายตามรูปภาพถ่ายของพ่อแม่ ญาติพี่น้องและบรรพบุรุษทุกคนในครอบครัวจำนวนหลายสิบรูป เชื่อว่าเป็นการบูชายัญ และไม่ให้ชาติหน้าได้เกิดมาพบเจอกันอีก
จากนั้น 1 ม.ค. กลัวว่าจะมีชาวบ้านมาเห็น จึงได้กลับไปหาศพของพี่ชายที่นอนเสียชีวิตอยู่ที่กระท่อมอีกครั้ง และลากศพพี่ชายไปฝังดินไว้ริมสระน้ำ กลับไปนอนบ้านตามปกติ นั่งกินหมูกระทะหน้าบ้านอย่างมีความสุข ก่อนตำรวจจะบุกเข้าไปรวบตัว โดยหลังจากตำรวจพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้นำตัวของนายไพศาลกลับมาที่ สภ.นามน พร้อมกับให้เจ้าตัวขอขมาศพของพี่ชาย ศพอยู่บนรถพยาบาล ก่อนนำไปชันสูตร นายไพศาลได้กล่าวขอขมาศพ ขอให้พี่ชายที่ตัวเองฆ่าช่วยอโหสิกรรมให้ในสิ่งที่ทำลงไป
ขณะเดียวกัน ช่วงบ่ายตำรวจได้ควบคุมตัวนายไพศาล ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายไพศาล ถึงสาเหตุที่ลงมือฆ่าพี่ชายว่าเกิดจากอาการหลอนยา เห็นพี่ชายเป็นสัตว์ประหลาดจริงหรือไม่ ทันทีที่เจ้าหน้าที่ควบคุมเจ้าตัวเดินออกจากห้องควบคุมขังขึ้นรถตำรวจ เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สลด ไม่เอ่ยคำขอโทษ หรือพูดอะไร เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, เสพยาเสพติด และซ่อนเร้นอำพรางศพ
นางหนูจันทร์ อายุ 78 ปี แม่ของผู้ตายและผู้ก่อเหตุ เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ตนเองขอวิงวอนให้เจ้าหน้าที่ช่วยตัดสินประหารชีวิตลูกชายไปเลย และขออย่าให้ลูกชายรอดคุกออกมาอีก เพราะตนเองรับไม่ได้กับการกระทำของลูกชาย ที่ทั้งใช้ไม้ตีหัวพ่อ และเอาเท้าเหยียบคอพ่อจนเกือบตายมาแล้ว ยังไม่พอรอบนี้ ยังลงมือฆ่าลูกชายคนโต ฝังเอาศพไปอำพรางอีก ซึ่งนายไพศาล ถือเป็นลูกชายคนเล็กสุดของบ้าน ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ไปมาก หากตำรวจปล่อยนายไพศาล ลูกชายกลับมาอีก แน่นอนว่าตนเองและสามีครั้งนี้จะถูกมันฆ่าตายแน่ ๆ
ตนยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเองรักลูก ๆ ทุกคนเท่ากัน ไม่มีคนไหนรักมากกว่ากันเลย และคิดว่าสิ่งที่นายไพศาล ลูกชายคนเล็กน้อยใจว่า พ่อแม่รักนายบุญมี ลูกชายคนโตมากกว่าไม่จริงเลย ลูกคิดไปเอง และหากเป็นไปได้ ตนเองอยากจะกินยาบ้าสัก 3-4 เม็ด ให้บ้าเหมือนลูกชาย และเข้าไปฆ่าลูกชายในคุกเองให้มันจบ ๆ ลูกจะได้ไม่ต้องออกมาทำร้ายคนอื่นอีก
นางบุบผา อายุ 45 ปี พี่สาวของผู้ก่อเหตุ และเป็นน้องสาวของคนตาย เล่าว่า ก่อนหน้าจะเกิดเหตุสลดขึ้น น้องชายก่อนหน้านี้ ทำงานเป็นช่าง อยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อมาชีวิตของน้องชายล้มเหลวไม่เป็นท่า และได้กลับมาอยู่บ้าน แต่เมื่อกลับมาถึงน้องชายจากที่ก่อนหน้านี้เป็นคนดีตั้งใจทำงาน กลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ยอมงาน เอาแต่ขอเงินเสพยาบ้า ขอเงินพ่อแม่ไม่ให้ ก็จะทำร้ายทุกคนในบ้าน ขู่จะฆ่าสารพัดอย่าง และทำร้ายเอาไม้ตีพ่อปางตายมาแล้ว รวมถึงนายบุญมี พี่ชายก็ถูกทำร้ายเช่นกัน ทำให้ตนเองเกิดความกลัว ได้พาพ่อแม่หลบไปอยู่ที่อยู่ที่อื่น พร้อมกับเตือนนายบุญมี พี่ชายว่าอย่าไปอยู่กับน้องชาย หรือเข้าไปยุ่ง เพราะเป็นตัวอันตราย
ในตอนนั้น นายบุญมี พี่ชาย บอกตนเองว่า "ไม่เป็นไร พี่จะอยู่ที่เดิม พี่เหนื่อยที่จะหนีมันแล้ว เพราะยังไงพี่ไม่ตายด้วยโรคตับ ก็ตายเพราะถูกน้องฆ่าอยู่แล้ว ซึ่งหากพี่ตาย มันก็ถูกจับติดคุก ทุกคนในบ้านปลอดภัย พี่ก็ยอม"
หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ พี่ชายก็หายตัวไปอย่างปริศนา จนมารู้ว่านายไพศาลฆ่าพี่ชาย ตนเองเสียใจมาก และเชื่อว่าการตายของพี่ชายเป็นการเสียสละชีวิตแทนครอบครัว เพราะน้องชายเคยขู่จะฆ่าให้ตายยกครัวมาก่อนหน้านี้ด้วย
นอกจากนี้ มีเศษกระดาษโน้ต ที่ระบุข้อความว่า "พี่ไพศาล จะปกปักษ์รักษา น้องพลอย อั้ม แตงโม เจ๋ ถึงตายก็จะไม่ให้เกิดอันตรายกับทุกคน จะไม่ให้ใครทำร้าย ดวงตา ดวงใจ ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุด ไพศาล คือ เทพกาลเวลา คนนี้ ที่สร้างสรรพสิ่งทุกอย่างในปฐพี สาธุๆ" ตนมองว่าสิ่งที่น้องชายทำไปนั้น อาจจะเกิดจากฤทธิ์ของยาเสพติด ตนเองและทุกคนในบ้านเรียกร้องให้น้องชายได้รับโทษประหารชีวิตสถานเดียว เนื่องจากน้องชายได้ถูกฆ่าคนในบ้านไว้แล้ว หากรอดคุกออกมา ตนเองเชื่อว่าพ่อแม่ และตนเองคงถูกน้องชายตามฆ่าแน่ ๆ
Advertisement