ลากไส้แก๊งโกงสอบนายสิบโพยหลุดว่อนแลก 5 แสนแฉคนมีสีรับ 40 ล้าน (คลิป)

จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "Drama-addict" ได้เผยแพร่เรื่องราวของการทุจริตสอบนายสิบ โดยได้รับเรื่องร้องเรียนจากทางลูกเพจ และมีการโพสต์ข้อมูลตัวอย่างข้อสอบ

ล่าสุดวันที่ 12 ธ.ค. 65 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่าได้รับรายงานจากกองบัญชาการศึกษา (บช.ศ.) กรณีมีการร้องเรียนเรื่องทุจริตการสอบข้าราชการตำรวจสายอำนวยการว่า หลังการสอบเสร็จสิ้นได้มีการแจ้งเบาะแสในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทางกองบัญชาการศึกษาไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบการสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน

ซึ่งกรณีโพยคำตอบพบว่า มีการเฉลยตรงกับปัญหาข้อสอบในหลายข้อ แต่ในชั้นนี้กำลังตรวจสอบว่า ถูกนำมาใช้ขณะเข้าสอบหรือเป็นการทำขึ้นภายหลังการสอบเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งทางกองบัญชาการศึกษาได้แต่งตั้งคณะทำงานมาทำการสืบสวนตรวจสอบก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนกรณีทุจริตสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจรุ่น 2 ของตำรวจภูธรภาค 9 เมื่อเดือน มี.ค. 65 นั้น เป็นคนละกรณีกับเรื่องนี้ แต่เพื่อให้การดำเนินการทั้งสองกรณีเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้าไปรับผิดชอบและกำกับดูแลทั้ง 2 เหตุการณ์ 

ในส่วนของประเด็นการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ ล่าสุดคืดตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ. 9) ให้ศูนย์ฝึกอบรม ตำรวจภูธรภาค 9 (ศฝร.ภ.9.) แจ้งความเอาผิดทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมถึงนายหน้ารับเงินผู้เข้าสอบแล้ว เบื้องต้นพบมี 35 คน และยังพบว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตมีตั้งแต่ตำรวจ ระดับรองสารวัตร อำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 9 จนกระทั่งตำรวจคุมสนามสอบ และโรงเรียนกวดวิชาที่ทำหน้าที่ในการจัดหาผู้สมัครสอบที่ต้องการคำตอบ โดยผู้สมัครจะต้องเสียค่าดำเนินการหัวละ 500,000 บาท

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลที่พบหากดูในส่วนของการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การทุจริตสอบตำรวจนายสิบ คณะทำงานตรวจสอบพบว่า มี 2 สามีภรรยาที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคือ นายณัชธรรมรงค์ และ น.ส.รุ่งทิพย์ (สงวนนามสกุล) พบมีการทำธุรกรรมการเงิน

โดยช่วงระหว่างวันที่ 9-25 ธ.ค. 64 มีผู้เข้าสอบและญาติผู้เข้าสอบ 3 คน โอนเงินให้ น.ส.รุ่งทิพย์ รวม 1,640,000 บาท จากนั้น นายณัชธรรมรงค์ โอนเงินไปหา น.ส.รุ่งทิพย์ จำนวน 8,000,000 บาท 

จากนั้นในเดือน ม.ค.65 มี ร.ต.อ.หญิง ซึ่งเป็น พี่สาว น.ส.รุ่งทิพย์ โอนเงินให้ น.ส.รุ่งทิพย์ จำนวน 17 ครั้ง รวมเป็นเงิน 13,700,000 บาท

วันที่ 29 มี.ค.65 น.ส.รุ่งทิพย์ โอนเงินให้สามี ร.ต.อ.หญิง จำนวน 3,000,000 บาท วันที่ 30 มี.ค.65 ร.ต.อ.หญิง โอนเงินให้ น.ส.รุ่งทิพย์ จำนวน 500,000 บาท

และระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค.65 พบธุรกรรมการเงินระหว่าง ร.ต.อ.หญิง กับสามีจำนวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 7,274,580 บาท รวมการตรวจสอบพบบัญชีของ ร.ต.อ.หญิง มียอดเงินเคลื่อนไหวรวม 16 ล้านบาท และพบบัญชี น.ส.รุ่งทิพย์ มียอดเงินเคลื่อนไหวรวม 33 ล้านบาท 

สำหรับการทุจริตการสอบเข้ารับราชการ นักเรียนนายสิบตำรวจ รุ่นที่ 2 ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 เหตุเกิดเมื่อเดือน มีนาคม 2565 และมีข้าราชการตำรวจที่อาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการในการทุจริตในการสอบดังกล่าว เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ตรวจสอบความคืบหน้ากรณีดังกล่าวกับตำรวจภูธรภาค 9

จากข้อมูลล่าสุด พบว่าคัดกรองและตัดสิทธิ์ผู้ทุจริตการสอบทั้งหมดรวม 73 คน ออกจากกระบวนการคัดเลือกแล้ว ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธร 9 ดำเนินคดีกับผู้เข้าสอบที่ปรากฏหลักฐานการทุจริต ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจภูธรเมืองสงขลา ตำรวจภูธรภาค 9 ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกับ ร.ต.อ.หญิง ที่มีการนำเสนอข่าวว่ามียอดเงินเข้ามาในบัญชีจำนวนมาก และอาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการสอบ

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางเข้าพบพบตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล  อดีตผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 เป็นเจ้าของฉายา "มือปราบหูดำ" โดย รองเเต้ม ได้เปิดเผยกับทีมข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า หลังจากทราบข่าวการโกงข้อสอบตำรวจในครั้งนี้ตนรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก เพระเคยเกิดเหตุในลักษณะแบบนี้เเล้วหลายครั้ง

ตอนนี้สังคมกำลังจับตามอง “ตำรวจไทยประพฤติมิชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ ทุจริตต่อพี่น้องประชาชน” มองว่าภาพลักษณ์ของตำรวจเเย่ ซึ่งการโกงข้อสอบในครั้งนี้ จะให้ประชาชนฝากความหวังได้อย่างไร เพราะทุจริตสอบเข้าตำรวจเพื่อหาผลประโยชน์ ตอนนี้ตำรวจต้องตอบคำถามของสังคมให้ได้

อันที่จริงการโกงข้อสอบมีมานานมากเเล้ว ในช่วงยุคที่ตนเป็นตำรวจ เเละที่เคยเป็นข่าวที่เคยจับได้คือมีการโกงข้อสอบโดยการให้คนอื่นมานั่งสอบเเทน อย่างเช่น ลูกหลานของผู้หลักผู้ใหญ่ อยากเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เเต่ไม่มีความรู้ ไม่เก่ง ก็ไปจ้างนิสิตมหาวิทยาลัยดังมาสมัครให้ตัวเลขใกล้กันจะได้ที่นั่งสอบใกล้กัน พอเข้าห้องสอบก็เขียนชื่อสลับกัน ซึ่งพอผลสอบออกมาคนที่ต้องการเข้าตำรวจก็สอบติดข้อเขียน

ต่อมาก็มีการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้น เอาเครื่องมือส่งสัญญาณติดเข้าไปในตัว ส่งคำตอบออกมาให้คนนอก ทำให้ข้อสอบรั่วไหล เเต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ จนสุดท้ายต้องหาวิธีการป้องกันการโกงข้อสอบ เช่น เอาอาจารย์คนออกข้อสอบไปเก็บตัว เเละออกข้อสอบภายในคืนนั้น เเละสอบในวันถัดไป หรือเอาอาจารย์มา 10 คน ช่วยกันออกข้อสอบ เเต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเอาข้อสอบของอาจารย์ท่านไหนไปใช้ในการสอบ

ทั้งนี้ ตำรวจหาวิธีป้องกันมาตลอด เเต่คนก็หาวิธีโกงข้อสอบได้ตลอดเช่นกัน ซึ่งต่อมาก็เริ่มมีพวกติวเตอร์รับติวข้อสอบ ซึ่งบุคคลพวกนี้ก็มีความผูกพันกับตำรวจที่ออกข้อสอบก็ทำให้ข้อสอบรั่วไหลรู้ข้อสอบก่อน

ส่วนกรณีของภาค 9 เท่าที่ทราบก็มีการขอเเยกตัวออกไปออกข้อสอบเอง กองบัญชาการศึกษาคงจะไม่ได้เข้าไปดูแล จนเกิดข้อสอบรั่ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ก็เกิดจากเจ้าหน้าที่คุมสอบ ซึ่งสมัยก่อนนั้นก็มีการจ่ายเงินกันในระดับ 4-5 เเสน เช่นกัน ซึ่งหากเทียบกับสมัยนี้ก็หลักล้านบาท

คำถามต่อมาคือ ทำไมพ่อเเม่ผู้ปกครองถึงยอมจ่ายเงินหลักเเสน หลักล้าน เพื่อให้ลูกหลานสอบเข้านายสิบตำรวจทั้ง ๆ ที่เข้าไปเงินเดือนก็น้อย เเต่ก็มีคนสมัครนายสิบตำรวจหลายหมื่นคน เพราะระบบสังคมไทยมีความเชื่อว่าอยากให้ลูกหลานรับราชการ
เเละเป็นตำรวจเเล้วจะรวย ข้อต่อไปคือพ่อเเม่เชื่อว่าเป็นตำรวจเเล้วจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ข้อสุดท้ายอย่างน้อยลูกจะได้ไม่ตกงานเพราะสมัยนี้คนตกงานกันเยอะ หากรับราชการตำรวจก็จะมีความมั่นคง มีงานทำเป็นหลักแหล่ง พ่อเเม่ครอบครัวได้สวัสดิการ

ดังนั้นการยอมจ่ายเงิน 4-5 เเสนเพื่อแลกกับอนาคตลูกจึงถือว่าคุ้ม เจ้าหน้าที่รัฐที่มองเห็นจุดอ่อนนี้ จึงหาช่องทางที่จะโกง ทำให้เกิดปัญหาขึ้น สุดท้ายตนอยากจะฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ เเละคนที่ต้องการจะเข้ามาเป็นตำรวจ ตอนนี้สังคมกำลังขาดศรัทธากับตำรวจ เเละมองว่าภาพลักษณ์ของตำรวจดูแย่ ซึ่งยิ่งมาเกิดเหตุการณ์กรณีแบบนี้ขึ้นอีก คนจะมองยังไง โกงตั้งเเต่จะเข้ามาเป็นตำรวจ เเล้วประชาชนจะหวังพึ่งพาอะไรได้ ตำรวจที่โกงเข้ามาจะมาช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร อยากให้เอาตัวอย่างจากหน่วยงานอื่น ๆ มาปรับใช้กับวงการตำรวจ