คดีพลิกมือฆ่าเพื่อนฝังดินอ้างแค้นทวงสาว พ่อโดดชิ่งสื่อ จ.ม.ลับโผล่แฉพระสั่งฆ่า (คลิป)

จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 พบศพ “นายธิติศักดิ์ ทูลฉลอง” หรือ “นายเท่” อายุ 26 ปี ถูกฆ่าฝังดินอยู่ภายในร่องน้ำกลางสวน ในพื้นที่หมู่ 6 ต.ทรัพย์พระยา อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ตำรวจส่งศพชันสูตรพบถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 1 นัด หน้าอกอีก 1 นัด

ต่อมาวันที่ 4 ธ.ค. 65 ตำรวจเข้าจับกุม “นายเตอร์” หรือ “นายคนาวิน บังกระโทก” อายุ 37 ปี เป็นชาวบ้านในพื้นที่และเป็นเพื่อนของผู้ตาย เนื่องจากมีพยานระบุว่าเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 65 เวลาประมาณ 21.00 น. ผู้ตายเดินเข้าไปที่กระท่อมของครอบครัว “นายเตอร์” ใกล้กับจุดพบศพประมาณ 300 เมตร จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด แล้วก็ไม่เห็นผู้ตายอีกเลยจนกระทั่งมีคนไปพบศพ และเมื่อคืนนี้หลังจากสอบปากคำนาน 1 วันครึ่ง “นายเตอร์” ก็รับสารภาพว่าตัวเองเป็นคนยิง “นายเท่” โดยทำเพียงลำพัง ก่อนจะนำเสื้อผ้าที่ใส่วันเกิดเหตุมาเผาทิ้งที่กองขยะข้างบ้านตัวเอง ห่างจากกระท่อมจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ตามที่อมรินทร์ทีวีนำเสนอไปแล้วนั้น

วันที่ 5 ธ.ค. 65 เวลา 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกุมตัว “นายเตอร์” ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ โดยมีการให้สวมหมวกกันน๊อกและเสื้อเกราะ สีหน้าเจ้าตัวดูเครียดและมือสั่นบางช่วง ซึ่งบรรยากาศรอบ ๆ จุดเกิดเหตุก็มีชาวบ้านประมาณ 20-30 คน เดินทางมาสังเกตการณ์ รวมถึงแม่ของผู้ตายที่มาดูพร้อมน้ำตาด้วย แต่ไม่มีเหตุการณ์รุมประชาทัณฑ์แต่อย่างใด

จุดแรกคือบริเวณรอยต่อระหว่างทุ่งนากับสระน้ำ ซึ่งเป็นจุดที่ “นายเตอร์” กำลังนั่งดักหนูอยู่ แล้วผู้ตายก็เดินลัดทุ่งเข้ามาหา เพื่อขอบุหรี่ยาเส้นมวนแรก แต่พอ “นายเตอร์” ยื่นให้ผู้ตายก็โยนทิ้ง เจ้าตัวจึงเดินมายังริมสระ

จุดที่ 2 คือบริเวณริมสระ ผู้ตายเดินตาม “นายเตอร์” มาและขอบุหรี่ยาเส้นมวนที่ 2 พร้อมกับถามว่า “มึงเอาโบว์ไปไว้ที่ไหน” ด้วยความที่ “นายเตอร์” รำคาญ จึงมีปากเสียงทะเลาะกัน “นายเตอร์” ผลักผู้ตายลงไปที่บริเวณขอบสระชั้นล่าง ซึ่งตรงนั้นจะมีขอนไม้ขนาดใหญ่วางอยู่พอดี ทั้งนี้ด้วยความที่ผู้ตายเมา บวกกับตัวใหญ่ ลุกขึ้นสู้ลำบาก “นายเตอร์” จึงหันหลังไปหยิบปืนที่อยู่ในย่าม ซึ่งตนแขวนไว้ที่ต้นกล้วยตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อได้ปืนก็ยิงไปที่ผู้ตาย 2 นัด เข้าบริเวณศรีษะและหน้าอก ซึ่งขณะนั้นผู้ตายพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนขอบสระชั้นบน จนตนเห็นว่าผู้ตายแน่นิ่งไปแล้วจึงเอาปืนใส่กลับกระเป๋า แล้วเดินลัดทุ่งกลับไปที่กระท่อมเพื่อเอาเชือกไนล่อนมามัดคอ เชื่อมโยงลงไปมัดมือและมัดขา พร้อมกับเอาเชือกไปผูกผู้ตายให้ติดกับขอนไม้ ในลักษณะนอนตะแคงกอดขอนไม้ แล้วผลักลงไปในสระเพื่อถ่วงศพ แต่ปรากฎว่าขอนไม้กับศพไม่จม จึงลงไปลากกลับขึ้นมายังฝั่งเพื่อแก้เชือกทั้งหมดออก

จุดที่ 3 คือร่องน้ำที่พบศพ โดยหลังจากแก้เชือกแล้ว “นายเตอร์” ก็ลากผู้ตายลงไปยังร่องน้ำ ตอนแรกพยายามจะลากเข้าไปตามร่องน้ำ เข้าป่าอ้อย แต่ปรากฎว่าร่องน้ำมันสิ้นสุดแค่นี้ จึงกลับไปเอาจอบที่กระท่อมมาขุดดินบริเวณข้างร่องน้ำเพื่อกลบศพ แต่ก่อนจะกลบ ด้วยความกลัวจึงเอาหญ้าคามาผูกแขนผูกขาผู้ตายพร้อมกับท่องนะโม 3 จบด้วย

จุดที่ 4 จุดสุดท้ายหลังจากกลบศพเสร็จ ตนก็เอาเหรียญบาท 2 เหรียญที่มีอยู่แล้ว วางตรงบริเวณเนินดินปลายเท้าศพ และท่องนะโม 3 จบเพื่อซื้อที่ดินและเพื่อสะกดดวงวิญญาณ

จุดนี้ทีมข่าวถาม “นายเตอร์” ว่าทำไปเพื่ออะไร เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นพิธีสะกดดวงวิญญาณที่ตนจำมาจากคนรอบข้างจริง แต่การทำพิธีก็ไม่สำเร็จ เพราะมีดวงวิญญาณของผู้ตายมาตามหลอกหลอนตนตลอด จนต้องไปเอาน้ำมนต์มารด แล้วหลังจากนั้นตนจำไม่ได้ว่าวันไหน ก็มีการเอาปืนไปทิ้งที่คลองชลประทาน พร้อมกับยืนยันว่าทำคนเดียว ไม่มีคนอื่นรู้เห็น และอยากขอโทษผู้ตาย ขณะเดียวกันแม่ของผู้ตายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ตะโกนถามว่า “เตอร์ทำน้องทำไม” ซึ่ง “นายเตอร์” เองก็ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะถูกคุมตัวขึ้นรถ

หลังจากทำแผนเสร็จ “นางลิ้ม ทูลฉลอง” แม่ของผู้ตาย ให้สัมภาษณ์กับสื่อทั้งน้ำตา ตัวเองไม่ยอมให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอนและไม่เชื่อว่า “นายเตอร์” ทำคนเดียว ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนจนถึงที่สุด แล้วที่ตนพยายามถามกับ “นายเตอร์” ว่าทำแบบนี้กับลูกตนทำไมนั้น ก็เพราะที่ผ่านมาทั้ง 2 คนสนิทกัน มีข้าว มีเหล้า ก็กินด้วยกันตลอด และอยากให้วันนี้ดวงวิญญาณของลูกรับรู้ว่าตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้แล้ว

ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปยังกระท่อมของ “นายบุญธรรม บังกระโทก” พ่อของผู้ก่อเหตุ เพื่อสอบถามให้แน่ชัดว่ารู้เห็นกับการก่อเหตุครั้งนี้ของลูกชายหรือไม่ แต่เมื่อไปถึงเจ้าตัวกลับเดินหนีไปตามทุ่งนา และบอกว่าไม่ให้สัมภาษณ์อะไรทั้งนั้นเพราะตำรวจสั่งไว้

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี วิ่งตามเพื่อจะสอบถามเพิ่มเติม ปรากฎว่า “นายบุญธรรม” ก็วิ่งหนีไปผ่าทุ่งนาเรื่อย ๆ พลางตะโกนบอกกับเราว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังเกิดเหตุลูกชายไม่ได้มาบอกด้วย ไม่รู้ว่าลูกชายมีปืน พร้อมกับขอแก้ข่าวว่าตนกับภรรยาไม่ได้ร่วมวงกันกินหมากับใครทั้งนั้น เพราะวันที่เกิดเหตุตนกับภรรยานอนอยู่ที่บ้านไม่ได้อยู่ที่กระท่อม

เมื่อเราถามว่าอยากขอโทษครอบครัวผู้ตายมั้ย เจ้าตัวก็เงียบ และเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมกับยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง เราก็ถามว่าจะวิ่งไปไหน เจ้าตัวบอกว่า “หาดักอะไรกิน” ก่อนจะเดินเข้าป่าอ้อยไปในที่สุด

ขณะที่ “นางทองดำ บังกระโทก” แม่ของผู้ก่อเหตุ ก็ยืนยันกับอมรินทร์ทีวีว่า ตอนเกิดเหตุตนกับสามีไม่รู้เรื่องเพราะอยู่บ้าน ไม่ได้ยินเสียงปืนด้วย และหลังเกิดเหตุลูกชายก็ไม่ได้มาบอกด้วย พร้อมกับยืนยันว่าตนไม่เคยสั่งห้ามไม่ให้หลานพูดอะไรทั้งนั้น ส่วนถ้าถามว่าอยากขอโทษหรือบอกอะไรกับครอบครัวผู้ตายไหม เจ้าตัวบอกว่า “ไม่บอก ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง ไม่ไปไหน” และยืนยันว่าตัวเองกับสามีบริสุทธิ์ใจ

ขณะครอบครัวของผู้ตาย วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปคุยกับ “นายบุญธรรม ทูลฉลอง” อายุ 64 ปี พ่อของ “นายเท่” เจ้าตัวก็พาไปดูรูปถ่ายของลูกชาย 2 คนที่ถ่ายไว้ด้วยกัน ซึ่งตัวเองตั้งใจจะเก็บรูปนี้ไว้ดูต่างหน้า พร้อมกับพาเราไปดูห้องนอนที่ลูกชายเคยนอน พบว่ามีเสื้อยีนส์ 2-3 ตัวแขวนอยู่ ซึ่งพ่อบอกว่านี่เป็นเสื้อโปรดของลูกทั้งหมด ลูกชอบใส่เสื้อยีนส์ และวันที่พบศพก็ใส่เสื้อยีนส์ด้วย

นอกจากนี้ระหว่างที่พ่อกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าลูกชายให้ดูนั้น ทีมข่าวสังเกตเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางพับอยู่ในลิ้นชักตู้ ซึ่งมีข้อความเขียนด้วยปากกาสีน้ำเงินว่า “พ่อแม่ ถ้าผมเป็นไรไป คือเขาฆ่าปิดปากผม ผมรู้เรื่องเจ้าอาวาสวัด ออกรถกระบะให้สีกาติดวัดเลยจ้างคนมาฆ่าปิดปากผมครับ ผมก็ไม่ตั้งใจพอผมเห็นว่ามีอะไรเขารู้ว่าผมรู้ครับ เขาเลยเอาคนมาฆ่าปิดปากผมจริง ๆ” ซึ่งพ่อยืนยันว่าลายมืดในจดหมายเป็นลายมือของลูกชายหรือ “นายเท่” แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นจดหมายฉบับนี้มาก่อน

“นายบุญธรรม” ผู้เป็นพ่อของผู้ตาย ให้สัมภาษณ์กับเราเรื่องจดหมายว่า ส่วนตัวมองว่าเนื้อหาในจดหมายไม่น่าจะเป็นความจริง ไม่ติดใจ เพราะลูกชายป่วยเป็นผู้พิการประเภท 4 หรือผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านจิตใจมาตั้งแต่ 15-16 ปี บวกกับลูกชายมักจะเข้าไปนั่งเล่นที่วัดดังกล่าวบ่อย ๆ แล้วอาจจะไปเกเรจนโดนเจ้าอาวาสดุทำให้ลูกชายไม่พอใจ ก็เลยมาเขียนจดหมายพาดพิงถึงเจ้าอาวาสในลักษณะนั้น อีกทั้งตนกับเจ้าอาวาสก็โตมาด้วยกัน เป็นรุ่นน้องตนที่โรงเรียน ยืนยันว่าเป็นพระประพฤติดีไม่เคยมีภรรยาเพราะบวชเป็นพระตั้งแต่เด็ก

ส่วนเรื่องการเสียชีวิตของลูกชายนั้น ตนก็อยากขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้โดยเร็ว เพราะตนก็เอะใจ “นายเตอร์” ตั้งแต่วันแรกที่พบศพลูกชาย เนื่องจากทั้งคู่สนิทกันเคยไปดื่มสุราและนั่งกินหมาด้วยกันที่กระท่อมดังกล่าวบ่อย ๆ บวกกับก่อนที่ลูกชายจะหายตัวไป “นายเตอร์” เคยตามหาลูกชาย บอกว่าลูกชายไปแอบปล่อยหนูพังพอนที่เขาดักไว้ที่ทุ่งนา แต่คาดว่าคงหาไม่เจอ ซี่งตนคาดว่าคงเป็นหนึ่งในปมสะสม

ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า “นายเตอร์” เป็นยิงจริง แต่ไม่เชื่อว่าตอนอำพรางซ่อนเร้นศพจะทำแค่คนเดียว เพราะ “นายเตอร์” ตัวเล็ก หนักแค่ประมาณ 60 กก. แรงไม่น่าจะพอ ขณะที่ลูกชายหนักเกือบ 90 กก. ในใจจึงมองว่าครอบครัวของ “นายเตอร์” น่าจะมีส่วนรู้เห็น จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนนี้เพิ่มเติม ม่อย่างนั้นก็เกรงว่าคนชั่วจะลอยนวล

ทั้งนี้ถ้าถามว่าให้อภัย “นายเตอร์” ไหม เจ้าตัวบอกว่าสามารถให้อภัยได้ เพราะไม่อยากให้มีบ่วงต่อกัน เพราะสุดท้ายเขาก็ได้รับโทษตามกฎหมายแล้ว พร้อมกับอยากขอให้ดวงวิญญาณของลูกไปสู่ภพภูมิที่ดี ไปสู่สวรรค์นิพพาน ไปสู่ดาวดึง ถ้าได้เกิดใหม่ ก็ขอให้เกิดเป็นคนดีตามที่ตนเคยสั่งสอน และหากชาติหน้ามีจริงก็อยากให้เกิดมาเป็นสายเลือดพ่อลูกกันอีก

เจ้าตัวยอมรับว่าที่ผ่านมา ลูกชายเกเรจริงแต่จะเกเรแค่กับพ่อแม่ ตนก็พยายามสอนลูกตลอดว่าให้เป็นคนดีเพื่อพ่อเพราะพ่อไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีไม่เคยทำร้ายใคร แต่น่าเสียดายที่ชาตินี้ลูกไม่ทำตามคำสอนพ่อ

ส่วนประเด็นที่ผู้ตายได้เขียนจดหมายไว้ในตู้เสื้อผ้านั้น ทีมข่าวก็เดินทางไปยังวัดที่ระบุอยู่ในจดหมาย เพื่อจะสอบถามกับทางเจ้าอาวาส แต่ทราบว่าเจ้าอาวาสติดกิจนิมนต์ที่อื่น โดย “หลวงพี่ก๊อต” พระลูกวัดให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาตลอด 4 ปีที่ตนบวชที่นี่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีผู้หญิงเข้ามาสนิทสนมกับเจ้าอาวาส ไม่เคยมีพฤติกรรมไปยุ่งกับสีกา

และเท่าที่ทราบ เจ้าอาวาสไม่มีภรรยาด้วย เพราะบวชตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเห็นว่าเจ้าอาวาสจะซื้อรถกระบะให้ใคร มีเพียงแค่คันที่เจ้าอาวาสใช้ไปกิจนิมนต์ทุกวันคันเดียวเท่านั้น คนที่ขับให้ก็เป็นเด็กวัดผู้ชาย แต่ถ้าถามว่า “นายเท่” ผู้ตายมาที่วัดบ่อยไหม เจ้าตัวยอมรับว่ามาบ่อย เขาชอบมานั่งเล่น เดินเล่นในวัด แต่ละครั้งก็มาติดต่อกัน 2-3 วัน ไม่เคยทะเลาะกับเจ้าอาวาส แต่ตนก็ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสเคยดุอะไรเขาบ้าง