จากกรณีเวลา 13.00 น. ของวันที่ 23 พ.ย. ตำรวจ สภ.คลองหลวง รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตลอยอืดภายในคลองส่งน้ำ ที่เกิดเหตุภายในคลองส่งน้ำที่ 2 ใกล่เคียงตลาดทำเลทอง ม.1 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่เกิดเหตุภายในคลองส่งน้ำบริเวณใต้บ้านริมคลองพบศพผู้เสียชีวิต 1 ราย ลักษณะนอนคว่ำหน้าลอยอืดสภาพศพคว่ำหน้า จากการตรวจสอบมีบาดแผลการถูกทำร้ายที่ศีรษะ ถูกทำร้ายด้วยของแข็งไม่มีคม ทราบชื่อเวลาต่อมา นายปิยะดา สรกุล หรือ กอหญ้า อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นเป็นสาวประเภทสอง
ล่าสุดวันที่ 24 พ.ย. 65 กำลังกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วยฝ่ายสืบสวน สภ.คลองหลวง ติดตามกุมตัว นายยุทธพล ปิยวิทยาการ อายุ 36 ปี ผู้ก่อเหตุ ได้ที่ จ.ชลบุรี เบื้องต้นนายยุทธพลยอมรับว่าก่อเหตุจริง สารภาพวันเกิดเหตุตนเองขี่รถจักรยานยนต์ผ่านจุดที่น้องกอหญ้ายืนอยู่บริเวณสวนลุมพินี และมีการพูดคุยกันเรื่องงานก่อนที่น้องกอหญ้าจะตกลงขึ้นรถจักรยานยนต์ไปด้วย
จากนั้นตนเองขี่รถจากสวนลุมพินีไปบริเวณพื้นที่ย่านคลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างทางมีปากเสียงกัน จึงตัดสินใจใช้ค้อนทุบจนเสียชีวิต อ้างปมฆาตกรรมขัดแย้งเรื่องส่วนตัวต่อมาชิงทรัพย์ไปบางส่วน ตำรวจเร่งนำตัวมาเค้นสอบเพิ่มที่ สภ.คลองหลวง คาดว่าใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง
ต่อมาเวลา 14.45 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคุมตัวนายยุทธพล ปิยวิทยาการ หรือ นายอาร์ท อายุ 36 ปี อาชีพไรเดอร์ โดยสามารถจับกุมระหว่างหนีไปกบดานที่ บางแสน จ.ชลบุรี มาที่ สภ.คลองหลวง ตำรวจจัดชุดกำลังคุมตัวอย่างแน่นหนา เนื่องจากมีญาติผู้ตายมามารอดูโฉมหน้าฆาตกรที่ สภ. หวั่นเกิดถูกรุมประชาทัณฑ์
โดยนาทีที่คุมตัวนายยุทธพลลงจากรถ ปรากฎว่าญาติของผู้ตายที่ยังคงโกรธแค้นพยายามเข้าถึงตัวนายยุทธพลเพื่อทำร้ายร่างกายเหตุการณ์ช่วงนี้ค่อยข้างชุลมุน ตำรวจพยายามกันญาติผู้ตายออกแต่ญาติผู้ตายประมาณ 2-3 คน ที่โกรธแค้นไม่ยอมหยุดบุกเข้าถึงตัวนายยุทธพลใช้กำปั้นทุบที่ศีรษะ บางคนก็ทุบไปที่หลัง
ตำรวจจึงเร่งคุมตัวนายยุทธพลขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องสืบสวนชั้น 3 ของโรงพัก แต่ก็ปรากฎว่าญาติผู้ตายยังคงวิ่งตามไปและขว้างขวดน้ำและแก้วน้ำพลาสติกใส่ตัวผู้ต้องหาและตะโกนด่าว่า “ไอเหี้ย มึงทำน้องกูทำไม”
กระทั่งถึงชั้นสามหน้าห้องสืบสวน ตำรวจรีบเปิดประตูนำตัวผู้ต้องหาเข้าไปและขอไม่ให้ญาติผู้ตายเข้าห้อง และให้สงบสติอารมณ์ โดยญาติผู้ตายเผยเพียงว่ายังทำใจไม่ได้
ขณะที่ นายยุทธพล ปิยวิทยาการ ผู้ต้องหาบอกว่าตนเองมีความประสงค์แค่ชิงทรัพย์เท่านั้าไม่มีเจตนาที่จะฆ่าน้องกอหญ้า ตอนนั้นกลัวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวจึงต้องทำร้ายผู้ตายโดยใช้ฆ้อนตีไปหลายครั้งตั้งแต่สวนลุมพินี กทม. ก่อนนำศพมาทิ้งแล้วหลบหนีไป ฝากขอโทษญาติผู้เสียชีวิตด้วย ต่อจากนี้ตนเองจะขอไปชดใช้กรรมในคุก
นอกจากนั้นตำรวจยังได้ยึดของกลางที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุมาตรวจสอบ เสื้อผ้าที่ใส่ในวันเกิดเหตุโดยยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ ค้อนที่ใช้ทุบ มีดสั้นที่ใช้จี้มีดพร้าที่พกในวันเกิดเหตุ และโทรศัพท์ของผู้ก่อเหตุ
ขณะที่ช่วงเวลา 16.45 น. ชุดอาสาสมัครกู้ภัยจากมูลนิธิปอเต็กตึ้ง และตำรวจสภ.คลองคลอง มายังจุดที่ผู้ต้องหาอ้างว่าทิ้งศพ ช่วงสะพานบงกช 40 ถนนเลียบคลองสอง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยใส่ชุดประดาน้ำลงดำน้ำในคลอง ตามที่ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองคลอง ให้งมหาหลักฐานในคดี คือ ดัมบ์เบล และ โซ่ ที่ผู้ต้องหาผูกกับศพก่อนผลักทิ้งลงคลอง และมีโทรศัพท์ของผู้ตายยี่ห้อไอโฟนรุ่น 13 Pro MAX และสร้อยคอที่ทิ้งลงคลอง ภายหลังงมหาประมาณ 5 นาที ปรากฎว่าพบของกลางทั้งหมด
โดยนายโยธิน บุญถนอม อายุ 29 ปี อาสาสมัครกู้ภัยจากมูลนิธิปอเต็กตึ้ง เปิดเผยข้อมูลว่า พบหลักฐานอยู่ใต้คลิงโดยลึกจากผิวน้ำประมาณ 3 เมตร คาดว่านาทีที่ผู้ต้องหาถ่วงศพทิ้งลงแม่น้ำ แล้วศพหลุดจากที่ผูกไว้และลอยขึ้นมา เนื่องจากดรัมเบลมีน้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักเบาไม่พอที่จะถ่วงศพไว้ อีกทั้งมัดผูกกับศพไม่แน่นหนา ทำให้ศพลอยจนในที่สุดมีชาวบ้านพบศพ นอกจากนั้นคลองน้ำที่ทิ้งศพมีกระแสน้ำไม่ไหลเชี่ยว ทำให้นำพัดศพไปได้ไม่ไกล ซึ่งทางอาสาสมัครกู้ภัยจากมูลนิธิปอเต็กตึ้งได้มอบหลักฐานที่งมพบให้ตำรวจ สภ.คลองหลวง เพื่อไปดำเนินต่อในคดี
ด้านพลตำรวจตรีพีระพงศ์ วงษ์สมาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยหลังสอบสวนผู้ต้องหาว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุฆ่านายปิยะดาจริง โดยก่อนเกิดเหตุสามวันได้เดินทางไปที่สวนลุมพินี กทม. เพื่อหวังชิงทรัพย์กับสาวประเภทสองอีกรายที่ทำมาหากินอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ขณะนั้นไม่ปลอดคนจึงไม่เลือกลงมือ ต่อมาคืนวันที่ 22 พ.ย. 65 ได้ขี่รถเก๋งฮอนด้ารุ่นซิตี้สีบรอนซ์เดินทางไปที่สวนลุมพินีอีกครั้งโดยใช้บริการกับผู้ตาย โดยตกลงกราคากันที่ 1,000 บาท ก่อนผู้ตายขึ้นรถเก๋งตนและมีความสัมพันธ์กัน จากนั้นผู้ตายก็ลงจากรถแล้วแยกย้ายกัน
ระหว่างที่แยกย้ายตนเห็นบริเวณนั้นปลอดคนจึงย้อนกลับมาหาผู้ตายอีกครั้ง แล้วลงไปล็อกคอใช้มีดจี้บังคับให้ผู้ตายขึ้นรถ เมื่อขึ้นรถแล้วก็บังคับให้ผู้ตายส่งทรัพย์สินให้ แต่ผู้ตายกลับอ้างว่ามีเงินแค่ 1,400 บาท ที่อยู่ในบัญชี เป็นเงินของตนเอง 400 บาท และค่าตัวที่ผู้ก่อเหตุโอนให้อีก 1,000 บาท ตอนนั้นผู้ต้องหาไม่เชื่อเพราะคาดว่าผู้ตายจะมีบัญชีอื่นอีก แล้วไม่ยอมโอนเงินบัญชีอื่นให้ ทำให้ไม่พอใจใช้ค้อนตีไปที่ผู้ตายจำนวนหลายครั้ง จนเลือดกระเด็นเต็มทั้งเบาะและข้างประตูรถด้านใน
ก่อนที่จะนำร่างของผู้ตายคาดว่ายังไม่หมดลมหายใจไปทิ้งบริเวณคลองสอง จ.ปทุมธานี โดยใช้ดัมเบลกับโซ่รัดถ่วงน้ำหนัก รัดไว้ที่คอผู้ตาย ก่อนนำศพโยนทิ้งคลองพร้อมกับโยนโทรศัพท์ของผู้ตายยี่ห้อไอโฟนรุ่น 13 Pro MAX ทิ้งลงคลอง หลังจากนั้นได้ทำความสะอาดรถแล้วไปจอดที่บ้านพักย่านสายไหมทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วได้ชวนภรรยาขึ้นรถจักรยานยนต์ขับขี่ไปที่ บางแสน จ.ชลบุรี
ซึ่งเหตุผลที่คนร้ายตัดสินใจใช้รถจักรยานยนต์ไปเที่ยว เพราะไม่ต้องการให้ภรรยารู้ว่าตนเองไปทำอะไรมาเนื่องจากในรถยังมีรอยเลือดและกลิ่นคาวเลือด และคนร้ายทราบว่าตำรวจจะต้องติดตามจับกุมจึงได้ทำการปิดมือถือ แต่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและใช้เทคนิคด้านการสืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาหลบไปอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอบางแสน จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัว
โดยตำรวจแจ้งข้อหานายยุทธพล 3 ข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ, และชิงทรัพย์ คาดว่าจะคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในวันพรุ่งนี้
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายกิตติเชษฐ์ ตู้มณี อายุ 29 ปี รุ่นพี่ของผู้ตาย บอกว่าวันนี้ที่มาที่โรงพักเพราะอยากมาดูโฉมหน้าฆาตกรที่ฆ่าน้องตน เพราะถือเป็นเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยม ตนเองรับไม่ได้ตั้งแต่ไปเห็นศพของน้องกอหญ้าขณะไปรอรับศพที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รังสิต
สภาพศพที่เห็นน้องกอหญ้าตายตาไม่หลับ โดยตาของน้องยังคงเปิดค้าง ตนรู้สึกได้ว่าขณะเสียชีวิตน้องคงทรมานมาก ส่วนบริเวณที่ศีรษะแพทย์ที่ชันสูตรศพยืนยันมีถึง 25 บาดแผล ในส่วนตนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนของน้องกอหญ้ายังทนไม่ได้ ดังนั้นทางครอบครัวคงมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่มาก ที่ผ่านมาน้องกอหญ้าเป็นคนสวย นิสัยน่ารัก ทำงานเก่ง และเป็นเสาหลักของครอบครัว โดยน้องทำงานหนักหาเงินเลี้ยงครอบครัวและดูแลญาติที่ป่วยพิการติดเตียง รวมทั้งเก็บเงินมาศัลยกรรมทั้งตัว ซึ่งตนเห็นน้องสู้ชีวิตมานาน
ทั้งนี้ตนยอมรับว่าน้องทำงานกลางคืนและรับงานดังกล่าวซึ่งน้องก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แต่อยากถามว่าทำไมถึงมีคนอย่างผู้ต้องหาอยู่ในสังคม คนที่จ้องเอาเปรียบสาวประเภทสองและหวังทำเพื่อชิงทรัพย์ สุดท้ายตนอยากฝากถึงผู้ต้องหาว่า “ขอให้เวรกรรมที่ทำ ตกกับลูกสาวและตกที่ตัวมัน และขอให้ครอบครัวชิบหาย"
ทีมข่าวย้อนตรวจสอบเส้นทางก่อนที่ นายปิยะดา คนตาย ถูกลวงขึ้นรถออกไปกับ นายยุทธพล ผู้ต้องหา โดยจุดสุดท้ายที่มีการรับขึ้นรถกันนั้นคือบริเวณข้างสวนลุมพินีบริเวณถนนสารสิน โดยจุดดังกล่าวนั้นมักเป็นที่รู้กันดีว่าส่วนใหญ่จะมีกลุ่มเฉพาะมีการนัดหมายเจอกัน และมีการตกลงเกี่ยวกับราคาก่อนที่จะออกไปจากบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งช่วงที่ทีมข่าวเดินทางกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่ตัวของ นายปิยะดา สาวสอง มีการเจอกับ นายยุทธพล คนก่อเหตุ ปรากฏว่ารถมาสด้าสีขาว ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานครยังจอดอยู่ในสภาพเดิม ตั้งแต่คืนวันที่ 22 พ.ย. 65 ตั้งแต่เวลา 22:00 น. จนกระทั่งวันนี้ผ่านไปกว่า 2 วัน รถก็ยังไม่ได้มีการเคลื่อนย้าย อีกทั้งยังสังเกตว่ามีแก้วน้ำซึ่งเป็นแก้วเยติสีชมพูและมีหลอดดูดสีขาวเปื้อนลิปสติกคาอยู่ที่แก้วน้ำวางเอาไว้ที่บนหลังคารถ ยังไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายหรือมีใครเก็บเอาไปเช่นกัน
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของหมู่บ้าน นายยุทธพล คนก่อเหตุ โดยมีกล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้าน และกล้องวงจรปิดบริเวณเสาไฟฟ้าหน้าบ้านของนายยุทธพล จับภาพพฤติกรรมในคืนวันที่ 22 พ.ย. 65 เวลา 21.02 น. เจ้าตัวได้เดินขึ้นรถและมีการสตาร์ทรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าขับออกจากหน้าบ้าน ผ่านกล้องวงจรปิดหลายตัวในหมู่บ้านขับออกจากหมู่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่สวนลุมพินี เพื่อที่จะก่อเหตุกับ นายปิยะดา สาวสอง ในคืนวันดังกล่าว
จากนั้นกล้องวงจรปิดจับภาพได้ต่อ คืนวันที่ 23 พ.ย. 65 เวลา 00.36 น. กล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้านและกล้องวงจรปิดบริเวณเสาไฟฟ้าหน้าบ้านของ นายยุทธพล จับภาพได้หลังจากที่คาดว่าไปลงมือก่อเหตุฆ่านายปิยะดาสาวสองแล้ว กลับเข้ามาบ้านเพื่อทำลายหลักฐาน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ชัดหลังจากที่เจ้าตัวจอดรถ ได้มีการถือลักษณะคล้ายถุงหรือกระเป๋าเป้ลงจากรถ ก่อนที่จะทยอยเอาของไปเก็บในบ้าน และเข้ามาเปิดประตูรถที่ละบานคาดว่ากำลังมีการล้างทำความสะอาดภายในรถหลังก่อเหตุ
ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้านของนายยุทธพล คนก่อเหตุ เพิ่มเติม ปรากฏว่าช่วงเช้าหลังจากก่อเหตุ คือ ในวันที่ 23 พ.ย. 65 ช่วงเวลาประมาณ 08.03 น. กล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้านคนก่อเหตุจับภาพได้ชัดเจนเห็นเจ้าตัวถือถังพลาสติกสีดำพร้อมกับผ้าไปเช็ดทำความสะอาดภายในรถ คาดว่าเป็นการทำลายหลักฐานโดยเฉพาะคาบเลือดของคนตาย
ขณะที่วงจรปิดจับภาพได้ วันที่ 23 พ.ย. 65 เวลา 12.32 น. จับภาพรถมอเตอร์ไซต์เวฟสีแดง ซึ่งมีนายยุทธพล เป็นคนขับ โดยมีการสวมใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้า หมวกกันน็อกสีดำ และมีแฟนสาวนั่งซ้อนท้ายใส่เสื้อสีเขียวแขนยาว หมวกกันน็อกสีดำ มีกระเป๋าสะพาย โดยทั้งคู่ได้มีการขับออกจากพื้นที่ย่านสายไหม มุ่งหน้าหลบหนีไปที่จังหวัดชลบุรีก่อนถูกจับในเช้าวันนี้
ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดตัวเดิมที่อยู่บริเวณหน้าบ้านของคนก่อเหตุ วันที่ 24 พ.ย. 65 เวลาประมาณ 13.36 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนหลังจากได้มีการล็อกตัวตนายยุทธพลได้พร้อมกับแฟนสาวที่ จ.ชลบุรี ได้มีการคุมตัวมาชี้จุด ภายในบ้านที่มีการทำลายหลักฐาน และมีการค้นหาของกลางที่ใช้ก่อเหตุ โดยภาพกล้องวงจรปิดจับภาพได้ช่วงที่พาคนก่อเหตุมาชี้จุด และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้มีการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้ในการประกอบในสำนวนคดี
ด้าน นายขาว (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน เผยว่า โดยปกติตนเองเห็นว่าทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกัน และมักจะมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง เนื่องจากฝ่ายชายเป็นคนอารมณ์รุนแรง ส่วนผู้หญิงก็เป็นคนไม่ยอมคน จึงทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่เพื่อนบ้านจะไม่ค่อยรู้ความเคลื่อนไหวว่าคนในบ้านทำอะไรอยู่ เห็นแต่ขับรถเข้าออก เพราะบ้านหลังดังกล่าวไม่ยุ่งสุงสิงกับใคร ก่อนหน้านี้แม่ของนายยุทธพล ก็อาศัยอยู่ที่บ้านด้วยกับลูกชาย แต่หลังจากที่อยู่อาศัยได้ไม่นานทะเลาะกับลูกชายและลูกสะใภ้ จึงต้องหนีไปอยู่ที่อื่น อยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันไม่ได้
ประกอบกับตนเองในฐานะที่รู้จักกับแม่ของนายยุทธพล เคยมีการพูดคุยกันก่อนที่จะหนีออกจากบ้านและไปอยู่ที่อื่น ซึ่งแม่ของนายยุทธพล บอกว่า “อยู่กับลูกชายไม่ได้เพราะติดยา เคยขอให้เลิกแล้วแต่เจ้าตัวก็หวนกลับไปยุ่งกับยาเสพติดอีก จึงรับไม่ได้ก็เลยย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่สำคัญไม่ชอบลูกสะใภ้คนใหม่จึงไม่อยากอยู่บ้านร่วมด้วย” ในวันที่แม่นายยุทธพลย้ายออกไปนั้นก็ได้มีการทิ้งรถเก๋งฮอนด้าเก่าเอาไว้ให้ 1 คัน และก็ทราบว่าเจ้าตัวใช้รถคันดังกล่าวไปก่อเหตุ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองเพิ่งทราบหลังจากที่มีนักข่าวเข้ามา ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวจะไปก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์สาวสอง แล้วมีการฆ่าคนอื่นตายก่อนหลบหนี
แต่สิ่งที่ผิดสังเกตเมื่อวานนี้ เห็นว่า มีการขับรถเก๋งออกไปคนเดียว ก่อนที่จะขับกลับเข้ามาแล้วเปลี่ยนเอารถมอเตอร์ไซต์ซ้อน 2 ออกไปพร้อมกับภรรยา จากนั้นก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน แต่รถเก๋งตอนที่ขับออกไปช่วงคืนวันที่ 22 พ.ย. เข้าสู่คืน 23 พ.ย. สังเกตุเห็นป้ายทะเบียนยังเปิดเผยครบไม่ได้มีการปิดบัง แต่หลังจากกลับเข้ามาพบว่าตัวสุดท้ายของหมายเลขทะเบียน 0 มีการใช้สติกเกอร์ “ปิดเบา ๆ” มีการปิดทับป้ายทะเบียนเอาไว้ ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเรื่องของการป้องกันคนเห็นหลังก่อเหตุก็ได้
เวลา 15.00 น. นางอัญชลี สรกุล อายุ 62 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต ได้เดินทางไปที่จุดพบศพลูก และจุดธูปเชิญดวงวิญญาณลูกกลับบ้านเพื่อไปประกอบพิธีตามศาสนาคริสต์ บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าโศก โดยนางอัญชลี เปิดเผยว่า ดีใจที่ตำรวจตามจับคนร้ายได้ในที่สุด แต่ส่วนตัวยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้ เนื่องจากน้องกอหญ้าเป็นเด็กกตัญญูและเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว ยืนยันจะเอาผิดทางกฎหมายกับผู้ต้องหาถึงที่สุดและอยากให้รับกรรมที่ก่อไว้ ในส่วนงานศพของน้องกอหญ้าจะจัดพิธีตามศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ซางตาครู้ส เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยจะมีพิธีฝังศพในวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. 65
ขณะที่ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ รังสิต หลังจากทีมข่าวทราบข้อมูลว่าช่วงเช้าวันนี้จะมีครอบครัวของผู้เสียชีวิตมายืนยันศพ โดยเห็นหลักฐานในจุดที่พบศพจากภาพข่าวของอมรินทร์ทีวี คือกุญแจรถยนต์มาสด้า กำไลข้อมือสีทอง-ดำ แหวนเพชรข้อมือซ้ายแหวนเพชรที่นิ้วชี้ข้างซ้าย และที่ศพมีการเจาะใส่จิวเพชรบริเวณสะดือ จึงมั่นใจว่าเป็นศพลูกสาวซึ่งเป็นสาวประเภทสอง นางอัญชลี แม่ของผู้เสียชีวิต ยืนยันว่าศพดังกล่าวคือ นายปิยะดา สรกุล หรือ กอหญ้า อายุ 29 ปี ซึ่งเป็นลูกของตน และเป็นสาวประเภทสองผ่านมาศัลยกรรมมาทั้งตัว วันนี้ดีใจที่ทราบข่าวลูกจึงเดินทางมายืนยันศพ เนื่องจากที่ผ่านมาทางครอบครัวตามหาน้องหลังหายตัวไปตั้งแต่คืนวันที่ 22 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา
โดยพบลูกครั้งสุดท้ายก่อนหายตัวไป คือเวลา 21.00 น. ลูกตนขับรถมาสด้าสีขาวออกจากบ้านพักย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งขณะนั้นออกไปทำงานฟรีแลนซ์ช่วงดึกเหมือนทุก ๆ วัน ต่อมาเวลา 22.00 น. ตนได้โทรศัพท์ติดต่อลูกแต่ลูกไม่รับสาย จากนั้น 23.00 น. ตนโทรติดต่อลูกอีกครั้งปรากฎว่าโทรศัพท์ลูกปิดเครื่อง
ตอนนั้นตนยังไม่แปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเข้านอนตามปกติ แต่พอเช้าวันที่ 23 พ.ย. 65 ปรากฎว่าลูกไม่กลับบ้านพัก จึงโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนของลูกสาวและพบว่าลูกหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งนี้ตนพยายามตามหาตัวลูกโดยได้ข้อมูลจากฝั่งเพื่อนว่าลูกจอดรถมาสด้าสีขาวบริเวณสวนลุมจุดที่ลูกทำงาน จากนั้นเพื่อนก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน
ต่อมาตนเองจึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี เพื่อขอดูภาพกล้องวงจรปิดในบริเวณที่ลูกจอดรถ จนพบว่ามีกลุ่มรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยหลายคันยืนคุยกับลูก ก่อนที่ลูกจะหายตัวไป นอกจากนี้ยังทราบข้อมูลจากตำรวจอีกว่า ลูกของตนเองมีการโอนเงินให้กับชายคนหนึ่งในจำนวน 1,400 บาท ก่อนหายตัวไป จนกระทั่งมาทราบว่าลูกเป็นศพจากข่าวอมรินทร์ทีวี
ส่วนตัวเชื่อว่าการตายของลูกเกิดจากถูกฆาตกรรม โดยมีคนสนิทหรือคนรู้จักล่อลวงลูกจากจึดจอดรถไปบริเวณจุดอื่น เพื่อลวงไปฆ่า เนื่องจากทรัพย์สินยังอยู่ครบขาดเพียงแค่โทรศัพท์ของผู้ตาย คาดว่าคนร้ายน่าจะนำไปทิ้งเพื่อทำลายพยานหลักฐาน ขณะที่มีความเป็นไปได้อีกว่าลูกอาจถูกฆ่าชิงทรัพย์ เนื่องจากก่อนพบศพประมาณ 2 เดือน ลูกถูกโจรจี้เอาทรัพย์สินขณะกลับบ้านพัก ตนเองเสียใจมากที่ลูกเสียชีวิต อยากไปถามไปฆ่าลูกตัวเองทำไม เพราะลูกตัวเองเป็นคนดีและเป็นเสาหลักครอบครัว
Advertisement