เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 65 นายภานุมาศ จิตรวศินกุล หรือ เฮียเปี๊ยก เจ้าของเพจ “เฮียเปี๊ยกช่วยด้วย” ลงพื้นที่ จ.ยโสธร เพื่อให้ความช่วยเหลือ นางจันทร์เพ็ญ หลักแก้ว อายุ 61 ปี และนายไพรัตน์ เลวัน อายุ 55 ปี สามีภรรยา หลังได้รับเรื่องร้องเรียนว่า หลังนางสาวจิตรดา หลักแก้ว ลูกสาวของผู้ร้องเรียนผูกคอตายเมื่อ 17 ต.ค. 65 สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของผู้ฝากเงิน ธ.ก.ส.จังหวัดยโสธร ซึ่งลูกสาวทำงานอยู่เป็นฝ่ายธุรการของสมาคมได้ยักยอกเงินสมาคมเป็นจำนวน 1.6 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2560-2565 โดยไม่มีหลักฐานนำแสดงต่อพ่อแม่ผู้ตาย
แต่มีเจ้าหน้าที่สมาคมฯ นำหนังสือบันทึกข้อตกลงการชดใช้ค่าเสียหายโดยการเช็นว่าจะขายที่ดินจำนวน 1 ไร่ เป็นเงินจำนวน 3.5 แสนบาท เพื่อนำเงินมาชดใช้หนี้แทนผู้ตาย ซึ่งตนมองว่าสัญญาฉบับดังกล่าวขัดต่อหลักกฎหมาย พร้อมนำตัวสามีภรรยาคู่นี้ไปร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดยโสธร เพื่อให้ตรวจสอบว่าผู้ตายถูกกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์จริงหรือไม่ ซึ่งการแจ้งว่าผู้ตายยักยักทรัพย์มา ตั้งแต่ปี 2560 -2565 จึงเกิดคำถามว่าตลอด 5 ปีทางคณะกรรมการสมาคมฯ ถึงปล่อยให้มีการยักยอกทรัพย์ได้อย่างไร บุคคลใดมีอำนาจเช็นเบิกจ่ายเงิน ซึ่งผู้ตายเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการของสมาคมฯ ไม่มีอำนาจในการเช็นเบิกจ่ายเงินแน่นอน
แต่หากทางสมาคมอ้างว่ามอบอำนาจให้ผู้ตายเป็นคนไปเบิกเงิน ดังนั้นผู้มีอำนาจของสมาคมฯ จะต้องลงลายมือชื่อในการถอนเงินแต่ละครั้ง จะไม่สอบถามทักท้วงผู้ตายที่มาถือใบเบิกถอนเลยหรือไม่ ต่อมาสามีภรรยาคู่นี้เข้ายื่นเอกสารร้องเรียนต่อ นายขันชัย สีนอร์ ผอ.ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดยโสธร โดยทางศูนย์ดำรงธรรมได้ให้เจ้าหน้าที่บันทึกถ้อยคำเอาไว้ และกำชับด้วยว่า หากใครนำเอกสารใดๆมาให้เซ็น ห้ามเซ็นเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของผู้ฝากเงิน ธ.ก.ส.จังหวัดยโสธร แต่ไม่พบเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารทราบเพียงว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของสมาคมได้ออกไปข้างนอกก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะไปถึง
ล่าสุด 24 พ.ย. 65 นางจันทร์เพ็ญ หลักแก้ว อายุ 61 ปี และนายไพรัตน์ เลวัน อายุ 55 ปี พ่อแม่ของนางสาวจิตรดา บอกว่า ตนเองนั้น ทราบข่าวว่าลูกสาวผูกคอตายภายในห้องน้ำ เมื่อ 17 ต.ค. ช่วยบ่าย ตอนนั้นพวกตนเองทำงานอยู่นอกบ้าน ตกใจมาก และไม่อยากเชื่อว่าลูกสาวจะมีความเครียดคิดสั้นแขวนคอตาย ที่ผ่านมาลูกสาวไม่เคยบ่น หรือตัดพ้ออะไรให้ฟัง
ส่วนหนี้สินของลูกสาว มีเพียงค่าบ้านหลังใหม่ที่ลูกสาวได้ขอให้ตนเองกู้เงิน จาก ธ.ก.ส. มาเพื่อสร้างบ้าน มูลค่าเกือบ 6 แสนบาท แต่ลูกก็ใช้ชีวิตปกติดีมาตลอด ไม่ได้เครียด หรือกดดันอะไร หลังการเสียชีวิตของลูกสาว ตนเองทั้งตกใจและงงหลังที่ทำงานได้ติดต่อมาว่า ลูกสาวของตนเองช่วงที่มีชีวิตอยู่ได้ยักยอกเงินของที่ทำงาน ซึ่งเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของผู้ฝากเงิน ธ.ก.ส. จังหวัดยโสธร ซึ่งลูกสาวเป็นฝ่ายธุรการทำงานอยู่ ซึ่งลูกยักยอกเงินของสมาคมมา ตั้งแต่ 2560-2560 จำนวนเงินทั้งหมด 1.6 ล้านบา
โดยตอนนั้นทางหัวหน้าสมาคมและผู้จัดการธนาคาร เอากระดาษชุดหนึ่งให้ดูว่าลูกสาวมีการโอนเงินออกไปจริง ๆ ซึ่งตนเองเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา อ่านหนังสือก็ไม่ออก กลับถูกอีกฝ่าย ให้ชดใช้เงินที่ลูกสาวยักยอกไปทั้งหมด 1.6 ล้านบาท ซึ่งทางหัวหน้าสมาคม และผู้จัดการ ไม่ได้ไปแจ้งความกับตำรวจเพื่อตรวจสอบเลยด้วยซ้ำว่าลูกสาวตนเองยักยักเงินไปจริงหรือไม่ แต่ได้ไปคุยกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน ให้พวกตนเองหาเงินมาใช้หนี้แทนลูกสาว อ้างว่า "ไม่ต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยาก"
โดยมีการให้ทำหนังสือสัญญา ขายที่ดิน 1 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่ นางจันทร์เพ็ญ แม่ของนางสาวจิตรดาเป็นเจ้าของโอนขายเพื่อชดใช้หนี้ให้ลูกทั้งหมด 3.5 แสนบาท โดยขณะนั้น ทางหัวหน้าสมาคม บอกว่า "ถ้าเซ็นสัญญานี้หนี้จะหมด จบ ๆ กันไป" ด้วยความที่ตนเองอ่านหนังสือไม่ออก และคิดว่า หนี้ 1.6 ล้านจะหมด จึงยอมเซ็นไปโดยไม่ทันได้อ่าน ในหนังสือข้อ 4 ในสัญญาว่า "ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ของนางสาวจิตรดา หลักแก้ว ให้สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ของผู้ฝากเงิน ธ.ก.ส. จังหวัดยโสธร ดำเนินการต่อไป"
ซึ่งพวกตนเองมารู้ภายหลังว่าจริงแล้วจะต้องใช้หนี้ที่เหลือจาก 3.5 แสนบาท ที่ขายที่ดินไป ซึ่งตนเองได้นำเรื่องไปเล่าให้ลูกหลานฟัง และให้ลูกหลานอ่านเอกสาร จึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด และมาขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ ส่วนเรื่องที่ลูกสาวยักยอก ก็ยังไม่รู้ด้วยว่า ลูกสาวโกงเงินไปจริงหรือไม่ หากจะให้พวกตนเองชดใช้หนี้หลายล้านบาท ตนเองก็คงจะไม่มีให้แน่ ๆ ทุกวันนี้เงินจะทำบุญลูกสาวครบ 100 วันยังจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งที่ผ่านมาตนเองยืนยันได้ว่าลูกสาวไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และหากลูกสาวเอาเงินไปจริงพวกตนเองก็คงสบายไปนานแล้ว
นายชาติ ศรีสุวรรณ อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 บ้านดอนไม้ยาง บอกว่า หนังสือข้อตกลงฉบับดังกล่าว ตนเองเป็นคนเสนอให้ทำขึ้นมาเอง เพราะว่า ต่างฝ่ายต่างตกลงกันไม่ได้ไม่รู้จะเอายังไง ซึ่งยืนยันว่าในวงการพูดคุย พ่อแม่ของนางสาวจิตรดาเอ่ยมาว่าไม่รู้จะใช้หนี้ยังไง มีแต่ที่ดิน 1 ไร่ ซึ่งขณะนั้น หัวหน้าสมาคม และผู้จัดการธนาคาร ได้ถามว่าที่ดินมูลค่าเท่าไร ก่อนจะยื่อข้อเสนอให้มีการขายที่ดินเพื่อชดใช้หนี้ แต่ยืนยัน ในวงการพูดคุย ไม่มีใครพูดว่าหากเซ็นสัญญาขายที่ดิน 3.5 แสนบาทแล้วจะหมดหนี้ ไม่มีใครพูด ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหักล้างหนี้เต็ม 1.6 ล้าน เพราะหนังสือสัญญา ข้อ 4 ก็มีบอก และได้อธิบายให้พ่อแม่ของนางสาวจิตรดาเข้าใจแล้ว
ส่วนที่มีการพิมพ์ว่า นางสาวจิตรดา ยักยอกเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ไปนั้น เป็นการตกลงคุยกันเองระหว่างสองฝ่ายตนเองไม่เกี่ยว และมีหน้าที่เซ็นเป็นพยานเท่านั้น โดยก่อนหน้าที่สาวจิตรดาจะแขวนคอตาย เจ้าตัวเป็นเหรัญญิกของกองทุนหมู่บ้านอีกด้วย และเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ตอนนั้นนางสาวจิตรดายังไม่ตายได้นำเงินจำนวน 3.3 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินกองทุนหมู่บ้านที่เก็บจากสมาชิก 76 คน ซึ่งเจ้าตัวมีหน้าที่เอาเงินไปฝากกับธนาคาร ธ.ก.ส. แต่เงินจำนวนดังกล่าวกลับไม่ได้ถูกนำไปฝาก
ตนเองพยายามทวงถามนางสาวจิตรดาเรื่อยมากว่าเอาเงินไปไหน เอาไปใช้อะไร แต่นางสาวจิตรดาก็ไม่ยอมบอก จนสุดท้ายนางสาวจิตรดา บอกว่าจะนำเงินไปฝากให้ธนาคาร สิ้นเดือน ต.ค. แต่นางสาวก็มาผูกคอตานเสียก่อน แล้วจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเงินจำนวนนี้ไปอยู่ที่ไหน ซึ่งหากครอบครัวนางสาวจิตรดาไม่รับผิดชอบ คณะกรรมการ 12 คนของกองทุนหมู่บ้านจะต้องชดใช้หนี้แทนเงินที่หายไป ซึ่งตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
Advertisement